สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ราคาทองคำยังสามารถปรับตัวขึ้นได้อีก ในขณะที่ธนาคารทั่วโลกกำลังเผชิญภาวะยากลำบากและธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตรียมระงับวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยราคาทองคำอาจพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์และเคลื่อนไหวที่ระดับดังกล่าวแบบต่อเนื่อง
ทีน่า เถิง นักวิเคราะห์จากบริษัทบริการด้านการเงิน ซีเอ็ม. ซี มาร์เก็ตส์ (CMC Markets) ระบุว่า “หากเฟดยุติวงจรการปรับขึ้นดอกเบี้ยอาจทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นอีก อันเนื่องมาจากผลพวงของการลดลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ” พร้อมคาดการณ์ว่า ทองคำจะซื้อขายระหว่าง 2,500 – 2,600 ดอลลาร์/ออนซ์
ช่วงนี้นักลงทุนแห่เข้าซื้อทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ เนื่องจากหุ้นกลุ่มธนาคารได้รับผลกระทบจากวิกฤตของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (SVB) และวิกฤตธนาคารเครดิต สวิส
รายงานระบุว่า ทองคำซื้อขายที่ระดับ 1,940.68 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (20 มี.ค.) ราคาทองคำทะลุ 2,000 ดอลลาร์/ออนซ์ จนแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2565 โดยราคาทองคำเพิ่มขึ้นประมาณ 10% นับตั้งแต่ต้นเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่ธนาคาร SVB ได้รับผลกระทบจากการแห่ถอนเงิน
บริษัทรีฟินิทิฟ (Refinitiv) ระบุว่า ราคาทองคำแตะระดับสูงสุดตลอดกาลที่ 2,075 ดอลลาร์/ออนซ์ในเดือนส.ค. 2563 โดยอุปสงค์ทองคำจากธนาคารกลางมีแนวโน้มที่จะหนุนทิศทางราคาทองคำขาขึ้น
ทั้งนี้ แรนดี้ สมอลวูด ซีอีโอบริษัทวีตัน พรีเชียส เมทัลส์ (Wheaton Precious Metals) ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองโลหะมีค่าระบุว่า “การซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางส่งผลดีต่อราคาทองคำในระยะยาว” พร้อมคาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะแตะ 2,500 ดอลลาร์/ออนซ์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 มี.ค. 66)
Tags: ธนาคารกลางสหรัฐ, ราคาทองคำ, อัตราดอกเบี้ย, เฟด