บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าหมายมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ปี 66 เติบโต 10% ไปอยู่ที่ 1.55 ล้านล้านบาท จากปีก่อนปิดที่ 1.41 ล้านล้านบาท ด้วยการกำหนดยุทธศาสตร์มุ่งสู่การครองใจลูกค้าเป็นอันดับหนึ่งภายใต้แนวคิด Top of Mind Investment House พร้อมให้มมุมมองกระจายพอร์ตลงทุน จีน-เวียดนาม Valuation น่าสนใจ ส่วนหุ้นไทยมองเป้าดัชนี SET ปลายปี 66 ที่ 1,800 จุด
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บลจ. กสิกรไทย แถลงแผนกลยุทธ์ปี 66 มุ่งสู่การเป็นธุรกิจที่ครองใจลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง ภายใต้แนวคิด Top of Mind Investment House ควบคู่กับการบูรณาการด้าน ESG เพื่อช่วยยกระดับตลาดทุนไทย และเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนมีความมั่งคั่งจากการลงทุนในกองทุนรวม อีกทั้งยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนและผลักดันให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ตั้งเป้าปี 66 มี AUM โตไปที่ 1.55 ล้านล้านบาท
ณ สิ้นปี 65 บลจ.กสิกรไทย มี AUM อยู่ที่ 1.41 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกองทุนรวม 9.93 แสนล้านบาท ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 2.34 แสนล้านบาท และธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 1.88 แสนล้านบาท โดยยังครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรมกองทุนรวม (ข้อมูลจาก บลจ.กสิกรไทย ณ 31 ธ.ค.65)
นายอดิศร กล่าวต่อไปว่า แผนกลยุทธ์ปี 66 จะให้ความสำคัญใน 5 ด้าน โดยเริ่มต้นจาก 1) มุ่งสร้างผลตอบแทน ด้วยการต่อยอดและพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการกองทุนให้ได้ผลตอบแทนที่โดดเด่นอย่างสม่ำเสมอ 2) สร้างความน่าเชื่อถือ ผ่านการให้คำแนะนำที่เหมาะสมและทันต่อเหตุการณ์อย่างตรงไปตรงมา 3) ดูแลคู่ค้าอย่างเข้าใจ พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ตามโจทย์ของคู่ค้าแต่ละราย เพื่อนำไปเสนอขายให้ตรงใจผู้ลงทุน 4) บริหารพอร์ตให้กับผู้ลงทุนสถาบัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสินทรัพย์และสภาพคล่องให้กับลูกค้าผู้ลงทุนสถาบัน และ 5) ตัวช่วยวางแผนเกษียณ นำเสนอตัวเลือกที่หลากหลาย ตอบโจทย์ทุกเป้าหมายเกษียณให้แก่สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ทั้งนี้ กลยุทธ์ดังกล่าวจะทำควบคู่กับการบูรณาการด้าน ESG และครอบคลุมลูกค้าทั้ง 3 ธุรกิจ ทั้งธุรกิจกองทุนรวม ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล และธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมถึงตัวแทนผู้จัดจำหน่าย ซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของ บลจ.กสิกรไทย
“การขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง แต่ไม่ต้องกำหนดเวลา เราจะเป็น Top of Mind ของลูกค้า อยากให้เวลาคิดถึงกองทุน คิดถึงเรา พร้อมดูความต้องการลูกค้า…ทั้งนี้ Performance ต้องดีและดีตลอดไป เพราะเราดูแลเรื่องเงิน ต้องยืนเป็นธงอันแรก ยึดไว้เผลอไมี่ได้ สร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน”นายอดิศร กล่าว
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันยังมีแนวโน้มชะลอตัว ตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความผันผวนสูง ในขณะที่ตลาดได้สะท้อนความคาดหวังต่อสัญญาณเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงไปแล้ว ทำให้ในระยะถัดไปคาดว่าจะเริ่มเห็นโอกาสการกลับมาของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียนำโดยประเทศจีน ซึ่งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าฝั่งสหรัฐฯและยุโรป อันมีปัจจัยสนับสนุนจากการทยอยเปิดประเทศ การบริโภคจำนวนมหาศาล และความก้าวหน้าทางด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี
ส่วนเวียดนาม ยังคงมีความน่าสนใจจากระดับการประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) และปัจจัยภายในประเทศทั้งการบริโภค การส่งออก และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ อีกทั้งในระยะยาว เวียดนามยังมีโอกาสที่จะได้รับการปรับสถานะจากตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) เป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งจะทำให้มีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาได้อีกมาก
ขณะที่ประเทศไทยมีทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นบวกมากขึ้น ปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวทั่วโลก การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือน พ.ค. และเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าจากนักลงทุนต่างชาติ โดยมองเป้าหมายดัชนี SET ปลายปีที่ 1800 จุด กรอบด้านล่าง 1,600 จุด ด้านตลาดตราสารหนี้ไทยปัจจุบันสะท้อนถึงการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตที่ระดับราว 2.00-2.25% แล้ว มองว่าการลงทุนในตราสารหนี้ไทยยังมีความน่าสนใจและอยู่ในระดับที่สามารถเข้าลงทุนได้
จากสภาวะตลาดปัจจุบันสะท้อนความน่าสนใจของตลาดตราสารหนี้ ในขณะที่เริ่มเห็นทิศทางการกลับมาของตลาดหุ้นทั่วโลก บลจ.กสิกรไทย จึงอยากแนะนำให้ผู้ลงทุนใช้หลักกระจายการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งเพียงสินทรัพย์เดียว และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนในทุกสภาวะตลาด โดยลงทุนผ่านกองทุนผสม ซึ่งเป็นกองทุนที่มีนโยบายที่เน้นกระจายการลงทุน ได้แก่ K-GINCOME, K-PLAN2, K-PLAN3
ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนเป็นรายกองเพื่อเพิ่มสัดส่วนให้กับพอร์ตการลงทุนด้วยตัวเอง สามารถลงทุนในกองทุนที่สอดรับกับมุมมองข้างต้นได้ ประกอบไปด้วย กองทุนหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ K-CHANGE, K-CHINA กองทุนหุ้นไทย ได้แก่ K-STAR กองทุนตราสารหนี้ ได้แก่ K-SF ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอทุกเดือนผ่านการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Average : DCA) ผ่าน App K-My Funds เพื่อเป็นการฝึกวินัยทางการเงินและส่งเสริมให้เกิดความมั่งคั่งในอนาคต
นายอดิศร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีที่ผ่านมา บลจ.กสิกรไทย มีจำนวนผู้ลงทุนผ่านช่องทางดิจิทัลทั้ง K-PLUS และ K-My Funds เป็นจำนวน 357,086 ราย คิดเป็นสัดส่วน 43% จากจำนวนผู้ลงทุนทั้งหมด และสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้ในทุกช่องทางรวมเป็นจำนวน 136,842 ราย
นอกจากนี้ บลจ.กสิกรไทยมองโอกาสการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากขึ้นและขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยบริษัทจะเน้นกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีที่ธนาคารกสิกรไทยมีฐานลูกค้ากลุ่มนี้อยู่แล้ว เนื่องจากรัฐบาลเตรียมออกกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจเอสเอ็มอีต้องเข้ามาจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 ก.พ. 66)
Tags: AUM, SET, กองทุน, จีน, บลจ.กสิกรไทย, หุ้นไทย, อดิศร เสริมชัยวงศ์, เวียดนาม