ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (63-64) บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เผชิญกับหลายปัจจัยลบ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเหตุการณ์ ณ ขณะนั้น ทำให้รัฐบาลหลายประเทศ รวมถึงไทยต้องใช้มาตรการหลายมาตรการเพื่อควบคุมการระบาด หนึ่งในนั้นก็คือมาตรการล็อกดาวน์ หรือปิดประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจท่องเที่ยว สายการบิน และโรงแรมหยุดชะงัก
ตามมาด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ในช่วงต้นปี 64 ทำให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง และเศรษฐกิจไทย รวมถึงโลกที่แย่จากโควิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งโดนซ้ำเติมหนักลงไปอีก โดย MINT ถือว่ามีธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศมากกว่าในประเทศ ซึ่งกระจายไปยังทวีปยุโรป ออสเตรเลีย และมัลดีฟส์ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจร้านอาหารในไทย จีน ออสเตรเลีย
ทั้งนี้จากปัจจัยลบดังกล่าวได้กระทบต่อผลการดำเนินงานของ MINT เป็นอย่างมาก เห็นได้จากปี 63 รายได้ลดลงมาอยู่ที่ 58,695.64 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสุทธิมาถึง 21,407.34 ล้านบาท ส่วนปี 64 รายได้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 76,211.26 ล้านบาท แต่ยังขาดทุนสทธิอยู่ที่ 13,166.51 ล้านบาท ขณะที่ในปี 65 จากหลายประเทศยกเลิกมาตรการโควิด-19 ผลการดำเนินงานก็เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยมีรายได้ 9 เดือนของปี 65 อยู่ที่ 88,174.54 ล้านบาท และพลิกสามารถกลับมามีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 2,375.71 ล้านบาท ส่งผลให้ทั้งปี 65 เติบโตกว่าปี 64 ไปแล้ว
นางสาวยุวนีย์ พรหมาภรณ์ นักวิเคราะห์พื้นฐาน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า คาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/65 จะมีกำไรหลักอยู่ที่ 2.8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากไตรมาส 3/65 และ 77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในยุโรป ขณะที่ประเมินอัตราการเข้าพักจะเพิ่มขึ้นเป็น 70% จาก 68% ในไตรมาส 3/65 สำหรับธุรกิจร้านอาหาร ประเมินยอดขายสาขาเดิม (SSS) เติบโต 5% โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวในไทยและออสเตรเลียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนร้านอาหารในจีนอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์
คาดผลการดำเนินงานในปี 66 ฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 65 โดยประเมินกำไรหลักอยู่ที่ 5,531 ล้านบาท จาก 3 ปัจจัยหนุน ได้แก่ ธุรกิจโรงแรมในยุโรปฟื้นตัวขึ้น จากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ลดลงในยุโรป เนื่องจากธุรกิจโรงแรมในยุโรปมีสัดส่วนถึง 60% ของรายได้โรงแรม, โรงแรมในประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และจีนเปิดประเทศ รวมถึงธุรกิจร้านอาหารในจีนดีขึ้นต่อเนื่อง จากปีก่อนจีนมีล็อกดาวน์
ขณะที่ในปี 66-67 คาดการณ์ค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายรวมลง 0.6 ppt และ 0.2 ppt ตามลำดับ จากราคาก๊าซในยุโรปลดลงแรง จากจุดสูงสุดที่ 311 ยูโร/เมกะวัตต์ชั่วโมง ในเดือน ส.ค.65 เนื่องจากฤดูหนาวไม่รุนแรงและสต็อกมากเกินไป
แนะนำ ซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 41 บาท มองยังมีอัพไซด์ และราคาหุ้นปัจจุบันค่อนข้างถูก เนื่องจากมีความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอยในยุโรป และราคาก๊าซที่ปรับตัวขึ้นมากเกินไป
ราคาหุ้น MINT ปิดที่ 33.50 บาท ลดลง 0.25 บาท (-0.74%) ขณะที่ดัชนี SET -0.37%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 ก.พ. 66)
Tags: Consensus, MINT, ยุวนีย์ พรหมาภรณ์, หุ้นไทย, ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล