นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายในปี 66 ไว้ที่ 8.6 พันล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนไว้ที่ 6.85 พันล้านบาท หรือเติบโต 10% จากปี 65 ซึ่งเป็นเป้าหมายของบริษัทที่เติบโตสูงกว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตราว 3-5% ในปี 66 โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ดีมาต่อเนื่องในปี 66 ซึ่งคาดว่า GDP ไทยจะเติบโตได้ 3.6-4% สูงกว่าภาพรวมของเศรษฐกิจโลกที่โต 2.7% จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่หนุนเศรษฐกิจไทยเป็นปัจจัยหลัก ทำให้มีการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยวกลับมา และส่งปลต่อการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวกลับมามากขึ้น หลังคนในประเทศกลับมามีรายได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่ท้าทายต่อเศรษฐกิจไทย คือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศใหญ่ เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งเป็นประเทศที่ไทยมีการส่งออก อาจจะเห็นการชะลอตัว และมีโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทย ซึ่งมีสัดส่วนต่อ GDP ที่สูงกว่า 60% อาจมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกบ้าง แต่ยังต้องติดตามเรื่องผลกระทบที่จะเกิดขึ้นว่ามากหรือน้อยแค่ไหนที่มีผลกระทบต่อภาคการส่งออกไทย
ขณะที่ปัจจัยของแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นนั้นยังค่อนข้างมีผลกระทบต่อผู้ซื้อบ้านด้วยเช่นกัน เนื่องจากต้นทุนของดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านสูงขึ้น อีกทั้งธนาคารพาณิชย์ยังมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออยู่ค่อนข้างมาก และยังไม่มีการผ่อนคลายมาตรการ LTV เหมือนปีก่อน ทำให้การเร่งตัวในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ไนปี 66 อาจจะเป็นการเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปจากกลุ่มลูกค้าในประเทศ แต่ยังมีมาตรการสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐในการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมการจดจำนอง ที่ยังช่วยกระตุ้นการซื้อบ้านได้บ้าง
นอกจากนี้ในปี 66 ยังมีปัจจัยในประเทศเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง ซึ่งคาดหวังจะทำให้เกิดความคึกคักในบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอย และมีเงินหมุนเวียนในระบบเข้ามาช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้งคาดว่านโยบายของรัฐบาลชุดใหม่จะมีการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และการลงทุนโครงการลงทุนของภาครัฐให้ออกมามากขึ้น ส่งผลให้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ดีขึ้น
นายชูรัชฎ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ LALIN กล่าวว่า แผนการเปิดโครงการใหม่ของบริษัทในปี 66 วางแผนเปิดโครงการใหม่จำนวน 10-12 โครงการ มูลค่ารวม 7-8 พันล้านบาท พร้อมกับวางงบซื้อที่ดินในปี 66 เพื่อรองรับการซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการในปีต่อๆไปอยู่ที่ 1.5-1.6 พันล้านบาท และบริษัทยังเดินหน้าในการรักษาวินัยทางการเงินให้มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ 0.55 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่ 1.4-1.5 เท่า
ขณะที่ในด้านการปรับขึ้นราคาขายบ้านในปี 66 บริษัทยังคงระดับราคาใกล้เคียงกับปีก่อน หลังปัจจุบันราคาต้นทุนวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็กและปูนปรับตัวลดลงมาพอสมควรแล้ว ทำให้บริษัทยังสามารถคงราคาขายบ้านให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนได้ ซึ่งในปี 65 บริษัทได้มีการปรับขึ้นราคาขายบ้านไปแล้ว 2-3% ซึ่งยังเป็นการปรับขึ้นราคาที่ยังต่ำกว่าต้นทุนที่สูงขึ้นในปีก่อน ส่วนมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัทที่จะโอนเข้ามาต่อเนื่องในปีนี้อยู่ที่ 1 พันล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้ในครึ่งปีแรกของปี 66
นอกจากนี้บริษัทยังคงเดินหน้าในกลยุทธ์ที่มุ่งเน้น Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ในด้าน Lifestlye marketing และ Experience marketing โดยต่อยอดด้านดิจิทัลมากขึ้น เพื่อนำ Big Data มาวิเคราะห์หา Customer insight ตอบรับการพัฒนาบ้านสำหรับ Real Demand ทั้งด้านการอยู่อาศัย ดีไซน์ และฟังก์ชั่น พร้อมกับสร้างความยั่งยืนให้กับบริษัทในด้าน ESG
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 ม.ค. 66)
Tags: LALIN, ชูรัชฎ์ ชาครกุล, ลลิล พร็อพเพอร์ตี้, หุ้นไทย, ไชยยันต์ ชาครกุล