นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.66 เป็นต้นไป การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) จะมีการปรับปรุงพิกัดระบบฮาร์โมไนซ์ (HS) โดยเปลี่ยนจากฉบับปี 2012 (HS 2012) เป็นฉบับปี 2022 (HS 2022) ในฐานะที่กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin: C/O) ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreements: FTAs) ต่างๆ ของไทย จึงได้มีระบบการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form RCEP ที่พร้อมใช้งานได้ในวันที่ 1 ม.ค.66 แล้ว
สำหรบความตกลง RCEP ถือเป็นความตกลงฉบับแรกจาก 14 ฉบับของไทยที่จะสามารถใช้ HS 2022 ได้ ส่งผลให้การจัดการเอกสารการส่งออก-นำเข้าต่างๆ รวมถึงการสืบค้นข้อมูลอัตราภาษีศุลกากรของผู้ประกอบการทำได้ง่ายขึ้น ช่วยลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินพิธีการศุลกากรขาเข้าและขาออกได้
ปัจจุบันความตกลง RCEP มีผลบังคับใช้กับประเทศสมาชิกทั้งหมด 13 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา สปป.ลาว สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ มาเลเซีย และเมียนมา โดยในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2565 มีการสิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลง RCEP ทั้งในส่วนของการขอออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form RCEP และการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาต (Approved Exporter) อยู่ที่ 742.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปยังประเทศสมาชิกทั้งหมด 8 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และนิวซีแลนด์ ซึ่งมีรายการสินค้าที่ใช้สิทธิฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ น้ำมันหล่อลื่น ปลาทูน่ากระป๋อง มันสำปะหลังเส้น ทุเรียนสด และเลนส์สำหรับกล้องถ่าย เครื่องฉาย หรือเครื่องขยาย หรือย่อภาพถ่าย
นอกจากนี้ความตกลง RCEP จะมีผลบังคับใช้กับอินโดนีเซียเพิ่มอีก 1 ประเทศตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.66 เป็นต้นไป ซึ่งอินโดนีเซียนับเป็นประเทศที่ 14 จากสมาชิก RCEP 15 ประเทศที่ความตกลง RCEP ได้มีผลบังคับใช้แล้ว คงเหลือเพียงฟิลิปปินส์ประเทศเดียวที่ยังดำเนินการตามกระบวนการภายในไม่แล้วเสร็จ จึงยังไม่สามารถใช้สิทธิพิเศษลดภาษีในการนำเข้า-ส่งออกภายใต้ความตกลง RCEP ได้
สำหรับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ญี่ปุ่น (AJCEP) ที่ได้บังคับใช้ร่วม 14 ปี กำลังย่างเข้าสู่ปีที่ 15 ก็จะมีการปรับปรุงพิกัดระบบฮาร์โมไนซ์ จาก HS 2002 ที่ใช้มาตั้งแต่ที่ความตกลงมีผลบังคับใช้เมื่อปี 2551 เป็น HS 2017 ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.66 เป็นต้นไป โดยกรมการค้าต่างประเทศได้เตรียมความพร้อมรองรับการปรับปรุงพิกัดระบบฮาร์โมไนซ์ดังกล่าวของความตกลง AJCEP ไว้แล้วเช่นกัน ซึ่งในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 2565 มีผู้ประกอบการยื่นขอออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form AJ เพื่อประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลง AJCEP อยู่ที่ 298.78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 11.52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (ที่มีการขอใช้สิทธิฯ 267.91 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยมีรายการสินค้าที่ใช้สิทธิฯ 5 อันดับแรก ได้แก่ แผ่นแถบทำด้วยอะลูมิเนียมเจือ กุ้งปรุงแต่ง ปลาแมคเคอเรลปรุงแต่ง ปลาซาร์ดีนปรุงแต่ง และขนมจำพวกเบเกอรี่
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ยังย้ำถึงความสำคัญของกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องของแต่ละ FTAs ที่เลือกใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าเพื่อให้สามารถนำไปลดภาษีนำเข้า ณ ประเทศปลายทาง ลดต้นทุนทางการค้า และสร้างแต้มต่อในเวทีการค้าโลกได้ โดยสำหรับพิกัดระบบฮาร์โมไนซ์ (HS) ของความตกลง FTAs ผู้ประกอบการจะต้องใช้ฉบับปีที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละ FTAs ในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) เพื่อไม่ให้เกิดการคลาดเคลื่อนของการพิจารณากฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดของสินค้านั้นๆ
ในปี 2566 กรมการค้าต่างประเทศยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับ FTAs อีกหลายฉบับ เช่น ความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) และเจรจาเพื่อจัดทำ FTAs กับประเทศคู่ค้าใหม่ๆ (อาเซียน-แคนาดา ไทย-สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) และไทย-ตุรกี) โดยมุ่งเน้นกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าที่สอดคล้องกับกระบวนการผลิตของไทยและแนวปฏิบัติที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ม.ค. 66)
Tags: FTAs, RCEP, กระทรวงพาณิชย์, รณรงค์ พูลพิพัฒน์