นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังของปี 63 จะยังคงผันผวนสูงจาก 4 ประเด็นหลัก ได้แก่
1.ความไม่แน่นอนของสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ในต่างประเทศ ซึ่งอาจทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจล่าช้าออกไป หรือต่ำกว่าที่ประเมินไว้
2.ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ – จีนที่อาจกลับมาปะทุขึ้น
3.ในช่วงปลายปีนี้มีโอกาสที่บริษัทต่าง ๆ จะผิดนัดชำระหนี้ หรือล้มละลาย หลังจากที่มาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ สิ้นสุดลง และ 4. ความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทย และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ (Bond Yield)
“ยังคงมองว่าตลาดหุ้นไทยจะผันผวนสูงในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะมีปัจจัยความไม่แน่นอนรออยู่ แต่สำหรับนักลงทุนที่รอจังหวะเข้าซื้อหุ้นไทยนั้นมองว่ากรอบดัชนีที่ 1,250-1,300 จุดเป็นระดับดัชนีที่ไม่แพง และเป็นจังหวะที่น่าทยอยสะสมอีกครั้ง”นายอภิชาติ กล่าว
สำหรับธีมหุ้นเด่นที่น่าลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง คือ กลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบน้อยจากโควิด-19 หรือมีความเสี่ยงต่ำหากเกิดการแพร่ระบาดระลอกสอง รวมทั้งมีความปลอดภัยจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่อาจกลับมาปะทุขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี คือ BAM, CBG และ CPALL รวมถึงหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินชีวิตแบบ New Normal แนะนำ TRUE และแนวโน้มการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่คาดว่าจะกลับมาเร่งตัวขึ้นเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แนะนำ CK และ SCC
ดังนั้น 6 หุ้นเด่นครึ่งปีหลัง คือ BAM, CBG, CK, CPALL, SCC และ TRUE
ส่วนหุ้นเด่นเดือนนี้ แนะนำหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการสัญจรที่ฟื้นตัวหลังคลายล็อกดาวน์ เปิดเทอม การกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ คือ BEM และ PTG และหุ้นแนวโน้มกำไรไตรมาส 2/63 ออกมาดี มีเงินปันผลระหว่างกาล แนะนำ CBG, DCC, SCC และ TVO เพราะฉะนั้น หุ้นเด่นที่แนะนำเดือนนี้ คือ BEM, CBG, DCC, PTG, SCC และ TVO
ส่วนแนวรับตลาดหุ้นไทย (SET Index) เดือน ก.ค.แนวรับแรกอยู่ที่ 1,305 จุดและแนวรับถัดไปที่ 1,300, 1,280 จุด และ 1,260 จุด ตามลำดับ ส่วนต้านแรกของหุ้นไทยอยู่ที่ 1,350 จุด และแนวต้านถัดไปที่ 1,380 จุดตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังพบประเด็นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในหุ้น คือ แนวโน้มการลงทุนในวิถีปกติใหม่ (New Normal) ซึ่งหลังจากนี้ผู้ลงทุนอาจจะต้องยอมรับราคาหุ้นที่แพงขึ้น ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และคาดหวังผลตอบแทนที่ลดลง เพราะคาดว่าธนาคารกลางทั่วโลกน่าจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับต่ำมาก และอัดฉีดสภาพคล่องผ่านการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณ (QE) เพื่อประคับประคองและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 ส่งผลให้สินทรัพย์ลงทุนหลักของโลกแพงขึ้นทั้งตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้น
“การใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายยาวนาน ส่งผลให้แนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลกลดต่ำลงจนบางประเทศถึงขั้นกลับมาติดลบอีกครั้ง นอกจากจะสะท้อนราคาพันธบัตรอยู่ในระดับสูงมากแล้ว อีกนัยหนึ่งยังสะท้อนว่า “เงินไม่มีที่ไป” ซึ่งมองว่าจะเป็นการบีบบังคับให้มีความจำเป็นต้องโยกเม็ดเงินออกจากตลาดพันธบัตรสู่ตลาดสินทรัพย์อื่น ๆ ด้วยการยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเพื่อแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่าเดิม (Search for Yield) โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากแรงขับเคลื่อนด้านสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนต้องยอมรับราคาหุ้นที่แพงขึ้น ยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ไปพร้อมๆ กับการคาดหวังผลตอบแทนที่ลดลง” นายอภิชาติ กล่าว
สำหรับ SET Index ช่วงครึ่งปีแรกของปี 63 แกว่งตัวผันผวนมากถึง 630 จุด หรือกว่า 40% โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,604 จุดเมื่อวันที่ 3 ม.ค. ก่อนปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดที่ 969 จุดเมื่อวันที่ 13 มีนาคม นอกจากนี้ ยังได้เห็นการประกาศใช้มาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ถึง 3 ครั้งในเดือน มี.ค.หลังดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงแรงเพราะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 ก.ค. 63)
Tags: ตลาดหุ้นไทย, บล.ทิสโก้, หุ้นไทย, อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล