BTG ปิดเทรดวันแรกที่ 36.25 บาท ต่ำกว่า IPO 9.38%

BTG ปิดเทรดวันแรกที่ 36.25 บาท ลดลง 3.75 บาท (-9.38%) มูลค่าซื้อขาย 8,717.09 ล้านบาท จากราคาเปิด 39.75 บาท ราคาสูงสุด 39.75 บาท ราคาต่ำสุด 36.25 บาท

นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบทาโกร (BTG) เปิดเผยว่า BTG เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม หลังประสบความสำเร็จในการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ด้วยมูลค่าเสนอขายรวม 20,000 ล้านบาท (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ที่ราคาเสนอขาย 40.00 บาทต่อหุ้น ได้รับความสนใจและกระแสตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งนักลงทุนประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศไทย ท่ามกลางสภาวการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนที่มีความผันผวนสูง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง

รวมถึงศักยภาพในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนของเบทาโกรในฐานะบริษัทอาหารชั้นนำระดับสากล (World-Class Branded Food Company) ที่มีความแตกต่างและโดดเด่นจากบริษัทจดทะเบียนรายอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ด้วยโมเดลธุรกิจแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ประกอบกับมีแบรนด์สินค้าที่มีคุณภาพและมีความหลากหลายซึ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายที่หลากหลายและครอบคลุมทั้งในประเทศไทยและอีกกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ตลอดจนกระบวนการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและนวัตกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ

เบทาโกรมีเป้าหมายมุ่งมั่นยกระดับอุตสาหกรรมอาหาร พร้อมเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันในระยะยาวผ่านแผนการลงทุนสำหรับ 5 ปีต่อจากนี้ (ปี 2565 – 2569) เพื่อขยายส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ ดังนี้

1) ขยายกำลังการผลิตตลอดห่วงโซ่คุณค่า โดยมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตในอีก 5 ปีข้างหน้า ประกอบด้วย อาหารสัตว์เป็น 5.5 ล้านตันต่อปี อาหารแปรรูปและไส้กรอก 223,000 ตันต่อปี โรงงานแปรรูปสุกร 4.8 ล้านตัว และโรงงานแปรรูปไก่เนื้อ 270 ล้านตัว

2) มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป เช่น อาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมรับประทาน รวมทั้งจะเพิ่มสัดส่วนของแบรนด์ผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียมและมาตรฐาน

3) ขยายการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ ในต่างประเทศ โดยมีแผนลงทุนก่อสร้างโรงงานและฟาร์มเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศกัมพูชา ลาว และเมียนมา

4) ขยายการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศและเพิ่มจุดหมายปลายทางการส่งออก ได้แก่ การเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายในตลาดต่างประเทศที่สำคัญ อาทิ สิงคโปร์ ฮ่องกง และกัมพูชา เป็นต้น การขยายไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่โดยเพิ่มการรับรู้แบรนด์และเข้าไปเป็นพันธมิตรใหม่กับธุรกิจท้องถิ่นรวมถึงเพิ่มจุดหมายการส่งออกจากกว่า 20 ประเทศทั่วโลก และเพิ่มยอดคำสั่งซื้อของลูกค้า (pocket share) ในภูมิภาคเดิม เช่น สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และสหราชอาณาจักร เป็นต้น

นอกจากนี้ เบทาโกรยังมุ่งแสวงหาโอกาสการเติบโตใหม่ (New S-Curve) โดยจัดสรรเงินทุนรวมประมาณ 900 ล้านบาท สำหรับปี 65-69 เพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ผ่าน Venture Building และ Venture Capital ใน 3 สาขา ได้แก่ 1) พัฒนาความสามารถในการเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพสูงให้แก่ผู้บริโภค 2) สร้างแหล่งโปรตีนใหม่ที่ยั่งยืน 3) เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานในสายอุตสาหกรรมการเกษตรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่สอดคล้องไปกับธุรกิจหลัก เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไปในอนาคต

“นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่จะผลักดันธุรกิจของเบทาโกรให้เติบโตไปอีกขั้น จากแผนการนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจ ความแข็งแกร่งของฐานะการเงิน ความสามารถในการดึงดูดผู้บริหารและทีมงานมืออาชีพตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ซึ่งจะนำมาสู่โอกาสในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในอนาคต เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือหุ้น ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย” นายวสิษฐ กล่าวเสริม

การเสนอขายหุ้น IPO ของ BTG ในครั้งนี้มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 500 ล้านหุ้น (รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกินเต็มจำนวน) ที่ราคาเสนอขาย 40.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวม 20,000 ล้านบาท โดยเบทาโกรวางแผนจะนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนไปต่อยอดความสำเร็จ เพื่อสร้างศักยภาพการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ได้แก่ (1) การลงทุนเพื่อการเข้าซื้อ และ/หรือก่อสร้างฟาร์มและโรงงานแห่งใหม่ประมาณ 8,000 ล้านบาท (2) การปรับโครงสร้างเงินทุนผ่านการชำระหนี้สินระยะสั้นและ/หรือระยะยาวให้แก่สถาบันการเงินประมาณ 8,960-10,500 ล้านบาท และ (3) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงาน ไม่เกิน 1,021 ล้านบาท

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (02 พ.ย. 65)

Tags: , , ,
Back to Top