หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งขึ้นต่อตาม Sentiment ตปท. ขานรับงบฯแบงก์สหรัฐออกมาดี

นักวิเคราะห์คาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งขึ้นต่อ ตาม Sentiment ตลาดต่างประเทศที่เป็นบวก ตอบรับผลประกอบการกลุ่มแบงก์ของสหรัฐออกมาดี รวมถึงไทยก็ออกมาตามคาดการณ์ ส่งผลให้นักลงทุนลดความกังวลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ให้แนวต้านไว้ที่ 1,600-1,610 จุด และแนวรับ 1,585-1,575 จุด

นายณรงค์เดช จันทรไพศาล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไอร่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งขึ้นได้ต่อ ตาม Sentiment ตลาดต่างประเทศที่เคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก ตอบรับการเปิดเผยผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐ ออกมาดี รวมถึงบ้านเรา ก็ออกมาดีเช่นกัน ทำให้ลดความกังวลเกี่ยวกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

วันนี้มองมีโอกาสขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,600 จุด หากผ่านได้จะมีแนวต้านถัดไปที่ 1,610 จุด และมีแนวรับที่ 1,585-1,575 จุด

แนะนักลงทุนติดตามการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/65 ของบริษัทจดทะเบียนไทยที่จะทยอยออกมาต่อเนื่อง โดยวันนี้จะเป็นการเปิดเผยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ รวมทั้งความชัดเจนงบน้ำท่วม และค่าเงินบาทที่เริ่มชะลอการอ่อนค่าทำให้เงินทุนต่างชาติที่ไหลออกต่อเนื่องผ่อนคลายได้บ้าง

*ประเด็นพิจารณาการลงทุน

 

– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (18 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,523.80 จุด เพิ่มขึ้น 337.98 จุด หรือ +1.12%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,719.98 จุด เพิ่มขึ้น 42.03 จุด หรือ +1.14% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,772.40 จุด เพิ่มขึ้น 96.60 จุด หรือ +0.90%

– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,225.17 จุด เพิ่มขึ้น 69.03 จุด หรือ +0.25%, , ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 16,805.91 จุด ลดลง 108.67 จุด หรือ -0.64% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,073.26 จุด ลดลง 7.70 จุด หรือ -0.25%

– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (18 ต.ค.65.) ที่ระดับ 1,590.36 จุด เพิ่มขึ้น 18.96 จุด, +1.21%

– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 423.44 ล้านบาท เมื่อวันที่ 18 ต.ค.65

– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.(18 ต.ค.)ลดลง 2.64 ดอลลาร์ หรือ 3.1% ปิดที่ 82.82 ดอลลาร์/บาร์เรล¶

– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (18 ต.ค.) อยู่ที่ 5.67 ดอลลาร์/บาร์เรล

– เงินบาทเปิด 38.07 จับตา Flow หลังต่างชาติขายพันธบัตรต่อเนื่อง ให้กรอบ 38.00-38.20

– “ฟิทช์ เรทติ้ง” คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 3.1% ปี 2566 ขยับเพิ่มเป็น 4.2% อานิสงส์ภาคอุตสาหกรรม-ท่องเที่ยวทยอยฟื้นตัว ประเมินธุรกิจธนาคารรายได้แจ่ม ห่วงหนี้เสียปะทุหลังหมดมาตรการผ่อนปรนช่วงโควิด-19 ปีหน้าจับตา “ธุรกิจอาหาร-ค้าปลีก-โทรคมนาคม-ซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง” ดาวเด่นกำไรพุ่ง

– รัฐบาลเข็นแผนเยียวยาน้ำท่วม-กระตุ้นเศรษฐกิจ โค้งสุดท้ายปลายปี 65 มั่นใจประคองจีดีพีโตแตะ 3.3% ระดมแบงก์รัฐ-คลัง-พลังงาน เฟ้นเงื่อนไขยกเว้น,ลดหย่อนภาษีและอุดหนุน ธุรกิจและประชาชนพื้นที่ประสบอุทกภัย ย้ำจ่ายไม่ต่ำกว่าครัวเรือนละ 3,000 บาท ชงครม.สัปดาห์หน้า เคาะข้อสรุป

– รัฐบาลเร่งเครื่องดึงลงทุน “สุพัฒนพงษ์” เผยต่างชาติสนลงทุนไทย ต่อเนื่อง ชี้จะมีข่าวดีบริษัทยักษ์เตรียมลงทุนในไทยเพิ่ม เร่งมาตรการลงทุนแบตอีวี-สมาร์ท อิเล็กทรอนิกส์ “อะเมซอน” ลงทุนเฉียด 2 แสนล้าน ดันดาต้าเซ็นเตอร์ใหญ่ที่สุดในประเทศ ให้บริการคลาวด์ครบวงจร หนุนไทย ศูนย์กลางดิจิทัล “บีโอไอ” ชี้หนุนเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ ทรานส์ฟอร์มดิจิทัล

– กระทรวงการคลังได้หารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (18 ต.ค.) เกี่ยวกับข้อเสนอของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด หรือเครดิตบูโร ที่เสนอให้แก้ไขกฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ.2545 โดยนำสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (นอนแบงก์) เช่น ธุรกิจลีสซิ่ง เช่าซื้อ รวมไปถึงนาโนไฟแนนซ์และฟิโกไฟแนนซ์ เป็นต้น ให้เป็นสมาชิกเพื่อนำส่งข้อมูลให้เครดิตบูโรได้ เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการประเมินสินเชื่อให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

 

*หุ้นเด่นวันนี้

 

– CENTEL (ดาโอ) เป้าเชิงกลยุทธ์ 52.00 บาท คาด Occ. Rate และ RevPAR ทำจุดสูงสุดในรอบปี (เริ่มไตรมาส 3/65) หลังการเปิดประเทศอย่างการ ล่าสุด ททท.เผยนักท่องเที่ยว 9 เดือน ทะลุ 6 ล้านคน เป้าหมายสิ้นปีที่ 10 ล้านคน ไม่ยากเย็น

ลุ้นกำไรไตรมาส 3/65 เติบโต Turnaround เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/64  และจะเติบโตเด่น QoQ โรมแรม Flagship อย่าง เซ็นทาราแอท เซ็นทรัลเวิร์ล Renovate เสร็จตั้งแต่ต้นปี ดังนั้นจะมีรายได้อย่างเต็มที่ใน 2H22  DAOL ประเมินกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 307 ลบ. พลิกจากขาดทุนในปีก่อน ส่วนปี 2566 คาดกำไรที่ 1,437 ลบ +369%YoY ตามลำดับ

– EPG (กรุงศรี) “ซื้อ” เป้า 14.5 บาท ผลกำไรผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว และจะเห็นการฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2 ปั 65/66 (ก.ค.-ก.ย.) หนุนโดยธุรกิจยานยนต์ดีขึ้นตามยอดขายรถยนต์ และธุรกิจฉนวนฯ ได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงตามน้ำมัน

– HMPRO (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 16.60 บาท) คาดครึ่งปีหลังยังฟื้นตัวได้ต่อเนื่องทั้ง YoY และจากครึ่งปีแรก ได้แรงหนุน Covid-19 คลี่คลาย การกลับมารับรู้ค่าเช่า ประเด็นบวกจากซ่อมแซมบ้าน(น้ำท่วม/ฤดูฝน) และการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ บริษัทยังคงกลยุทธ์เน้นสินค้า Private Brands และการขยายสาขาในประเทศ(ปี 65 ตั้งเป้าราว 7 สาขา; HomePro 2 สาขา และ Mega Home 5 สาขา) ที่ระยะถัดไปการลงทุนในเวียดนามยังคงน่าสนใจ ทั้งนี้ คาด EPS ปี 65 และ ปี 66 จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 64 ที่ 0.41 บาท/หุ้น มาอยู่ที่ 0.49 บาท/หุ้น, และ 0.53 บาท/หุ้น ตามลำดับ

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ต.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top