บมจ.จักรไพศาล เอสเตท (JAK) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 82,709,900 หุ้น คิดเป็น 25.85% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
วัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการและ /หรือ การลงทุนในที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ชำระคืนหนี้ธนาคาร และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
JAK ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายใน กทม. ปริมณฑล และภาคตะวันออก โดยมีบริษัทร่วม 1 บริษัท คือ บริษัท เอ็ม.ที.เอส พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน โดยถือหุ้น 40% ร่วมกับบริษัท โกลเด้นท์ พาราไดซ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ถือหุ้น 59.99% และนพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ถือหุ้น 0.0001%
โครงการส่วนใหญ่ของบริษัทมีราคาขาย 1-5 ล้านบาท และมีขนาดเนื้อที่โครงการไม่เกิน 100 ไร่ ลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่ กลุ่มลูกค้าวัยเริ่มทำงาน กลุ่มลูกค้าที่อยากมีบ้านหลังแรก และกลุ่มลูกค้าท้องถิ่น (Local) ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัทจนถึงปัจจุบันสามารถปิดการขายโครงการได้แล้ว 21 โครงการ และมีโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนาและการขาย 3 โครงการ โดยโครงการแนวราบของบริษัทฯ ได้แก่ จักรไพศาล 18, เฟิร์น ที่จังหวัดชลบุรี และ ไอดิลล์ อ.พานทอง จ.ชลบุรี ซึ่งอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ MTS ส่วนคอนโดมิเนียม Low Rise ได้แก่ เจ.พี. สมาร์ท คอนโด และ ลาซิโอ ศรีย่าน กทม.
และมีโครงการในอนาคต 1 โครงการ คือ โครงการรังสิต มูลค่ารวมราว 587.76ล้านบาท เป็นทาวน์เฮาส์ 106 ยูนิต และ คอนโดมิเนียม Low rise จำนวน 240 ยูนิต เนื้อที่โครงการ 10-2-64 ไร่ ตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.ปทุมธานี คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างไตรมาส 3/63 และเริ่มขายไตรมาส 4/63
ณ วันที่ 31 มี.ค.63 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 320,000,000 บาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท โดยมีทุนเรียกชำระแล้ว 237,290,100 บาท คิดเป็นหุ้นสามัญ 237,290,100 หุ้น และภายหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 82,709,900 หุ้น จะทำให้บริษัทจะมีทุนชำระแล้วครบจำนวน
โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ อันดับ 1 เป็นกลุ่มครอบครัวจักรไพศาล ถือหุ้นรวมกัน 93.47% โดยหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO จะลดสัดส่วนลงเหลือ 69.31% และนายฮิโรชิ คิคูจิ นักลงทุนชาวญี่ปุ่น ถือหุ้น 6.32% จะลดสัดส่วนหุ้นลงเหลือ 4.69%
สำหรับผลประกอบการของบริษัทในช่วงปี 60-62 บริษัทมีรายได้รวม 56.13 ล้านบาท, 208.71 ล้านบาท และ 154.47 ล้านบาท ตามลำดับ โดยสัดส่วนรายได้หลักมาจากโครงการแนวราบ 95.77%, 28.12% และ 38.05% ของรายได้จากการขายตามลำดับ และคอนโดมิเนียม 4.23%, 71.88% และ 61.95% ตามการรับรู้คอนโดมิเนียมของโครงการลาซิโอ ศรีย่าน ด้านกำไร(ขาดทุน)สุทธิเท่ากับ (0.21) ล้านบาท, 47.25 ล้านบาท และ 33.83 ล้านบาท ตามลำดับ
ส่วนงวด 3 เดือนแรกของปี 63 บริษัทมีรายได้ 12.14 ล้านบาท ลดลง 80.67% เมื่อเปรียบเทียบกับ 62.81 ล้านบาทในช่วงเดียวกันในปี 62 เนื่องจากบริษัทมีการขายโครงการลาซิโอเพียงหนึ่งยูนิตสุดท้ายก่อนปิดโครงการ กำไรสุทธิเท่ากับ 2.71 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 24.49% ในช่วง 3 เดือนของปี 62 เป็น 18.42% จากผลการลดลงของรายได้โครงการลาซิโอ
ณ วันที่ 31 มี.ค.63 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 548.57 ล้านบาท หนี้สินรวมเท่ากับ 235.49 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 312.94 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัท หลังหักเงินสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับของบริษัท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 มิ.ย. 63)
Tags: IPO, จักรไพศาล เอสเตท, ตลาดหุ้น, บริษัทจดทะเบียน, หุ้นไทย, ไอพีโอ