Fullerton มองแรงกดดันดอกเบี้ยสูงแนะหลบเข้า Defensive-หาจังหวะลงทุนยาวอาเซียน

นายมาริโอ ซิงห์ ประธานบริษัทและผู้ก่อตั้ง Fullerton Markets โบรกเกอร์ STP สัญชาติแคริบเบียนที่ให้บริการแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และการลงทุนในเอเชีย กล่าวว่า สหรัฐประกาศตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุด 8.3% ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 8.5% แต่แป็นตัวเลขที่สูงกว่าตลาดคาดไว้ 8.1% ส่งผลให้ตลาดกลับมากังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อสูง เป็นปัจจัยเข้ามากดดันการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงทำให้เห็นแรงขายออกมาอย่างมาก และเม็ดเงินไหลกลับเข้าไปในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอีกครั้ง

สภาวะดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก โดยเฉพาะเมื่อตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเรื่อง และทำให้ธนาคารกลางต่างๆ โดยเฉพาะธนาคารกลางในประเทศที่พัฒนาแล้วจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ประกอบกับ สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงการเมืองระหว่างสหรัฐฯและจีน ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้รับแรงกดดันค่อนข้างมาก ผลตอบแทนในสินทรัพย์เสี่ยงไม่ว่าจะเป็น หุ้น และ คริปโตเคอเรนซี่ ปรับตัวลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา จึงมองว่านักลงทุนควรหาจังหวะเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่มีศักยภาพเพื่อหาโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาว

ขณะที่ระยะสั้น หากนักลงทุนยังมองว่าหุ้นยังมีความน่าสนใจและต้องการที่จะลงทุน แนะนำหุ้นกลุ่ม Defensive ที่มีความปลอดภัย เนื่องจากมีความเสี่ยงและความผันผวนต่ำ เช่น กลุ่มสาธารณูปโภค (Utility) กลุ่มธนาคาร และ กลุ่มโรงพยาล ซึ่งจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในสภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยเร่งตัว ส่วนกลุ่มเทคโนโลยี ยังคงเป็นหุ้นที่ได้รับแรงกดดันอยู่มาก ระยะนี้อาจต้องหลีกเลี่ยงหรือรอหาจังหวะในการเข้าลงทุนในช่วงที่เหมาะสม

นายมาริโอ ซิงห์ กล่าวอีกว่า ภาพรวมการลงทุนยังเผชิญกับความไม่แน่นอนที่สูงมาก เพราะปัจจัยต่างๆยังไม่มีความชัดเจน จึงแนะนำการจัดพอร์ตให้เน้นถือเงินสดเป็นหลัก โดยเฉพาะเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯที่ยังมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้อีก เพราะธนาคารกลางสหรัฐฯยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนสามารถถือครองได้ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนสูง

สำหรับการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองว่ายังคงมีความน่าสนใจและเป็นหนึ่งในทางเลือกที่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาร เนื่องจากเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีขนาดใหญ่ และเติบโตในแต่ละปีอย่างน้อย 5% อีกทั้งยังเป็นภูมิภาคที่ได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีน ซึ่งจะเห็นว่าปัจจุบันเริ่มมีผู้ประกอบการหลายรายย้ายฐานการผลิตเข้ามาในเวียดนาม และอินโดนีเซีย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็นเทคโนโลยีและรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น ส่งผลให้คนในภูมิภลคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มมีรายได้มากขึ้น และการบริโภคเติบโตขึ้น รวมถึงการท่องเที่ยวในภูมิภาคที่ฟื้นตัวได้ดีจะเข้ามาหนุนภาคบริการเติบโตขึ้นอีกแรงหนึ่งด้วย

ดังนั้น นักลงทุนยังสามารถมองหาการลงทุนในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อีกค่อนข้างมาก โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่หุ้นส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องข้องกับการบริโภค และหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าต่างๆ ซึ่งได้รับประโยชน์จากการลงทุนที่เข้ามา และช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (14 ก.ย. 65)

Tags: , , , , , ,
Back to Top