TFM หั่นเป้ารายได้ปี 65 หันเน้นสินค้ามาร์จิ้นสูง คงงบลงทุน 330 ลบ.รองรับโอกาสโต

นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับลดเป้ารายได้ปี 65 เหลือเติบโต 5-8% จากเดิมคาดว่าจะเติบโต 15-17% เนื่องจากปริมาณการขายลดลง แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรกที่มีรายได้ 2,289 ล้านบาท ลดลง 2.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3-5 ปีบริษัทยังคงคาดการณ์ว่ารายได้จะเติบโตขึ้นเป็นมากกว่า 5 พันล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5-8% ต่อปี โดยบริษัทจะหันมาเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง

ขณะที่อัตรากำไรขั้น (Gross Profit Margin) ปีนี้ปรับลดลงมาที่ 7-9% จากเดิมคาดอยู่ที่ 10-14% รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงขึ้น 14-46% สืบเนื่องจากภาวะสงครามยูเครน-รัสเซีย และภาวะธรรมชาติทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้น โดยต้นทุนวัตถุดิบคิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% แต่เชื่อว่าราคาวัตถุดิบได้ผ่านจุดสูงสุดแล้วคาดว่าครึ่งปีหลังน่าจะลดต่ำลง

นายบรรลือศักดิ์ กล่าวว่า วัตถุดิบอาหารสัตว์หลัก ได้แก่ กากถั่วเหลือง แป้งสาลี มีแนวโน้มราคาย่อตัวในครึ่งปีหลัง โดยราคาถั่วเหลืองในสหรัฐและอินเดียจะอ่อนตัวในไตรมาส 3 และ 4 แต่เงินบาทที่อ่อนค่าและเงินเฟ้อสูงก็ทำให้ราคายังลดลงไม่มาก ส่วนปลาป่นคาดว่าราคาจะอ่อนตัวในเดือน ต.ค.

ปัจจุบันบริษัทมียอดขายในประเทศในสัดส่วน 96.5% ปากีสถาน 2.1% และอินโดนีเซีย 1.4%

สำหรับการขยายตลาดต่างประเทศ บริษัทได้เลือกประเทศที่มี Potential ที่จะเติบโตได้ดี และมีพันธมิตรท้องถิ่นที่สามารถช่วยเหลือด้านข้อมูล กฎระเบียบ และการตลาดในประเทศนั้นๆ โดยการขยายไปอินโดนีเซียและปากีสถานในช่วงที่เกิดภาวะสงครามและเงินเฟ้อสูง คาดว่าอาจจะต้องใช้เวลานาน 2-3 ปีกว่าจะเห็นการเติบโตได้ชัดเจน

โดยในอินโดนีเซีย แม้โรงงานจะสร้างเสร็จตามแผนเมื่อเดือน ม.ค.65 แต่ยังไม่สามารถรับรู้รายได้ในครึ่งปีแรก แต่คาดว่าครึ่งปีหลังจะมีรายได้เริ่มเข้ามาหลังจากโรงงานเพิ่งได้รับใบอนุญาต ทั้งนี้ โรงงานในอินโดนีเซีย มีกำลังการผลิต 36,000 ตัน/ปี ขณะที่ตลาดอินโดนีเซียถือว่ามีแนวโน้มเติบโตได้ดี เพราะเป็นผู้เลี้ยงกุ้งรายใหญ่ของโลก คาดว่าปีนี้ผลผลิตจะเติบโต 5.8% จากปีก่อนผลิตได้ 3.8 แสนตัน

ส่วนในปากีสถานเริ่มกลับมาเลี้ยงปลาได้แล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาเศรษฐกิจ ขณะที่บริษัทได้เริ่มเข้าสู่ธุรกิจอาหารแพะและวัว ซึ่งทำได้ดี โดยตลาดนี้เป็นตลาดค่อนข้างใหญ่

นายบรรลือศักดิ์ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในปีนี้ที่ 330 ล้านบาท ซึ่งเตรียมไว้มองหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศ โดยอาจเป็นการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น รวมทั้งศึกษาการลงทุนในไทยด้วย

นายฤทธิรงค์ บุญมีโชติ ประธานกรรมการ TFM กล่าวว่า ผลประกอบการตลอดที่ทำธุรกิจมา 20 ปี ปีนี้เป็นปีที่ต่ำสุด เพราะได้รับผลกระทบทั้งจากการแพร่ระบาดโควิด ราคาวัตถุดิบสูง แต่บริษัทก็ยังสามารถทำกำไรได้ แม้ว่าจะลดลงไปมาก แต่ก็ไม่ถึงประสบผลขาดทุน ขณะที่เขื่อว่าบริษัทจะมีผลประกอบการดีขึ้นน่าจะเห็นได้ชัดเจนในไตรมาส 4/65

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (15 ส.ค. 65)

Tags: , ,
Back to Top