นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็ปเป้ (SAPPE) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของ SAPPE ในไตรมาส 2/65 บริษัทมีรายได้รวม 1,334.5 ล้านบาท เติบโต 38.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ที่มีรายได้รวม 960.5 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 167.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ที่มีกำไรสุทธิ 126.9 ล้านบาท ถือเป็นรายได้รวมและกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) ซึ่งการเติบโตในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนหน้า และยังเป็นไปตามแผนการดำเนินงานสู่รายได้ 10,000 ล้านบาท ใน 5 ปีที่วางไว้ ได้แก่ สร้างการเติบโตจากตลาดต่างประเทศ ตลาดในประเทศ ออลโคโค่ และการทำ M&A
“ในตอนนี้ นับว่าเราเดินตามแผนได้อย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ ด้วยความแข็งแกร่งของ Business Partners คุณภาพที่เซ็ปเป้มีอยู่ทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปยุโรปมีการเติบโตสูงถึง 92.1% ทวีปเอเชียเติบโต 83.9% และตะวันออกกลางเติบโต 59.3% แม้ในช่วงสถานการณ์ที่ท้าทายจากวิกฤตต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ทั่วโลก เรายังสามารถเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งในหลายประเทศมี Local Influencers พูดถึง Mogu Mogu เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็น Viral ในยุโรป นอกจากนี้ ยังมีสื่อกระแสหลักของบางประเทศพูดถึงเรามากขึ้น ซึ่งการมีผู้บริโภคชาวต่างชาติในประเทศนั้นๆ พูดถึงสินค้าของเราจนเป็น Word-of-Mouth ถือเป็นโมเมนตั้มที่ดีมากๆ เพราะหมายถึงเรากำลังขยับเข้าไปอีกก้าว เพื่อเข้าใกล้เป้าหมายที่เราอยากนำแบรนด์ของคนไทยไปสู่ Global Brand อย่างแข็งแรงและยั่งยืน” นางสาวปิยจิต กล่าว
ความสำเร็จของแบรนด์ Mogu Mogu ที่วางขายอยู่ใน 98 ประเทศทั่วโลก วันนี้ได้ก้าวไปอีกขั้นด้วยการเป็น Lifestyle Brand บน Application ยักษ์ใหญ่ในประเทศเกาหลีใต้ ZEPETO ที่เราเพิ่งเปิดตัวเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ภายในระยะเวลาสัปดาห์แรกของการเปิดตัว สามารถสร้างยอดขายจาก Items บน Platform ได้กว่า 200,000 Items มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 4 เท่า และกลายเป็น Best Items ยอดฮิตติดอันดับชาว Metaverse บน ZEPETO ในหลายๆ ประเทศไปแล้ว ส่วน Photo Booth ของ Mogu Mogu ที่ให้ชาว ZEPETO ถ่ายวิดีโอสั้นๆ ร่วมสนุกกับเพื่อน ก็ได้รับความสนใจมากถึง 900,000 Engagement และแชร์ VDO มากกว่า 43,000 คลิป อีกทั้ง การ Collaboration ระหว่าง Mogu Mogu กับแบรนด์เสื้อผ้าวัยรุ่น ‘Graver of Anaheim’ ที่นิยมในเกาหลีใต้ ก็ได้รับความนิยมสูงมากจนมีบางช่วงสินค้าไม่เพียงพอต่อการจำหน่าย และต้อง Pre-Order นอกจากนี้ ก็เริ่มมีแบรนด์ต่างๆ ติดต่อเข้ามาเป็น Partner กับเรามากขึ้น นับว่าการสร้างแบรนด์และการทำตลาดแบบ O2O (Online to Offline Marketing) ที่ผ่านมา ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของเซ็ปเป้ ได้รับการตอบรับสูง และเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง
ทั้งนี้กระแสที่เกิดขึ้น เป็นแรงกระเพื่อมให้ทุกภูมิภาคเติบโตอย่างก้าวกระโดด และสามารถขยายการกระจายสินค้าไปได้อีกเป็นจำนวนมาก จากนี้ เราจะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อต่อยอดความสำเร็จของ Mogu Mogu ขยายสู่เครือข่ายช่องทางการขายที่บริษัททำตลาดไว้กว่า 90 ประเทศในปีต่อๆ ไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ส.ค. 65)
Tags: SAPPE, ปิยจิต รักอริยะพงศ์, ผลประกอบการ, หุ้นไทย, เซ็ปเป้