กรมเชื้อเพลิง เผยผู้รับสัมปทานปิโตรเลียม 12 รายวางหลักประกันการรื้อถอนตามกม.

นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เปิดเผยว่า การวางหลักประกันการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียมเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบของผู้รับสัมปทานปิโตรเลียม ในการปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายและหน้าที่รับผิดชอบการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม รวมทั้งทำให้รัฐมีความมั่นใจว่าผู้รับสัมปทานจะไม่ละทิ้งหน้าที่ตามกฎหมายในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งภายหลังสิ้นสุดการใช้งาน

กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้รับสัมปทานในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกอบกับกฎกระทรวงกำหนดแผนงาน ประมาณการค่าใช้จ่าย และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม พ.ศ. 2559

ที่ผ่านมามีผู้รับสัมปทาน จำนวน 12 ราย สำหรับแปลงสำรวจ จำนวน 8 แปลง ที่ได้ดำเนินการในการยื่นแผนงานการรื้อถอน และวางหลักประกันการรื้อถอนตามเงื่อนไขที่กำหนดอย่างถูกต้อง ประกอบด้วย

  • 1. ซิโน-ยู.เอส. ปิโตรเลียม อิงค์
  • 2. Central Place Company Ltd.
  • 3. Thai Offshore Petroleum Ltd.
  • 4. Sino Thai Energy Ltd.
  • 5. เอ็กซอน โมบิล เอ็กซ์โพลเรชั่น แอนด์ โพรดักชั่น โคราช อิงค์
  • 6. บริษัท ปตท.สผ.สยาม จำกัด
  • 7. บริษัท ปตท.สผ. อินเตอร์เนชั่ลแนล จำกัด
  • 8. บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
  • 9. เมดโค เอนเนอร์จี ไทยแลนด์ (บัวหลวง) ลิมิเต็ด
  • 10. เมดโค เอนเนอร์จี ไทยแลนด์ (อีแอนด์พี) ลิมิเต็ด
  • 11. บริษัท บุษราคัม มโนรา จำกัด
  • 12. บริษัท Tap Energy (Thailand) Pty Ltd.

ทั้งนี้ การวางหลักประกันการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในการประกอบกิจการปิโตรเลียมนอกจากจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประเทศว่าผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมจะสามารถดำเนินการรื้อถอน ฟื้นฟู ปรับปรุงสภาพพื้นที่ และจัดการสิ่งติดตั้งในการประกอบกิจการปิโตรเลียมที่เลิกใช้งานแล้วอย่างเหมาะสม โดยมีเป้าหมายที่จะให้พื้นที่เหล่านั้นกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีก ยังเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้รับสัมปทานในการดำเนินธุรกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับหลักแนวคิด ESG ที่มีบทบาทมากในปัจจุบันที่ใช้ขับเคลื่อนการดำเนินงานขององค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน

โดยคำนึงถึงประเด็นพื้นฐานใน 3 ด้านที่สำคัญ ได้แก่

  • ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental : E) คือ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการรักษาและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจ
  • ด้านสังคม (Social : S) คือ การบริหารประโยชน์ของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับองค์กร เช่น พนักงาน ลูกค้า และชุมชน อย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม
  • ด้านธรรมาภิบาล (Governance : G) คือ การดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ ภายใต้กฎ ระเบียบ และข้อบังคับต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด และดูแลผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัทอย่างเป็นธรรม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในส่วนของบริษัทผู้รับสัมปทานโดยตรง และประเทศให้มีความมั่งคงด้านพลังงานควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสังคมที่ดีด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 ก.ค. 65)

Tags: , , ,
Back to Top