บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการปรับลดกระแสเงินสดจ่ายให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งค่าใช้จ่ายพนักงาน ค่าเช่า และอื่นๆ รวมถึงปรับลดงบลงทุนรวมในปี 63 ลงมาอยู่ที่ 1-1.1 หมื่นล้านบาท จากเดิมตั้งไว้กว่า 1.7 หมื่นล้านบาท โดยเลื่อนแผนการใช้งบลงทุนเป็นปีต่อไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์ และจะชะลอแผนการซื้อกิจการ (M&A) ในปีนี้ เพื่อรักษากระแสเงินสด และไม่ก่อหนี้เพิ่ม อีกทั้งได้งดการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 62 รวมทั้งได้มีการเจรจากับเจ้าหนี้ในการขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้
ทั้งนี้ MINT ระบุว่า บริษัทตอกย้ำถึงความสามารถในการขับเคลื่อนบริษัทอย่างรวดเร็วเพื่อเตรียมพร้อมในการก้าวข้ามผ่านวิกฤติโควิด-19 และเติบโตต่อไปพร้อมกับการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ทั้งการเข้าซื้อกิจการ NH Hotel Group ผู้ให้บริการโรงแรมในทวีปยุโรป ทั้งอิตาลี สเปน กลุ่มประเทศเบเนลักซ์ และยุโรปกลาง รวมถึงการเข้าซื้อธุรกิจร้านอาหารแบรนด์บอนชอนในประเทศไทย และ Breadtalk ผู้ประกอบธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มชื่อดังในสิงคโปร์และในอาเซียน ทั้งศูนย์อาหาร Food Republic ร้าน Toast Box และ Song Fa Bak Kut Teh บักกุ๊ดเต๋ระดับมิชลินไกด์ในประเทศสิงคโปร์
อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะสั้นนี้บริษัทได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งส่งผลให้บริษัทจำเป็นต้องหยุดดำเนินธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารแบบนั่งทานตามนโยบายของภาครัฐและสาธารณสุขในหลายประเทศที่บริษัทมีการดำเนินธุรกิจอยู่
การแพร่ระบาดโควิด-19 ในครั้งนี้ ส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่ได้กระทบเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวเท่านั้น แต่เป็นสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบกับธุรกิจในเกือบทุกอุตสาหกรรมทั่วโลก และเป็นผลให้บริษัทมีผลขาดทุน 1.77 พันล้านบาทในไตรมาส 1/63 แต่บริษัทยังได้รักษาฐานะทางการเงินของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งอยู่เสมอ
ปัจจุบันบริษัทยังมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ 2.22 หมื่นล้านบาท อีกทั้งวงเงินกู้ยืมอีกกว่า 2.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงานให้กับบริษัทในระยะที่ได้รับผลกระทบนี้ อย่างไรก็ตามจากผลจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ผ่านมาที่มีผลขาดทุน ทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ปรับเพิ่มสูงขึ้นมาที่ 1.6 เท่า แต่บริษัทยังคงมีเป้าหมายที่จะควบคุมให้ไม่เกิน 1.3 เท่า
ล่าสุด บริษัทได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นกู้ในการแก้ไขข้อกำหนดเกี่ยวกับหน้าที่การดำรงอัตราส่วนทางการเงินที่ระบุในข้อกำหนดสิทธิ (Covenant Waiver) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ไตรมาส 2-4 ของปีนี้ เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้กับบริษัท และเพื่อไม่ให้บริษัทผิดข้อกำหนดในการดำรงอัตราส่วนทางการเงินภายใต้ข้อกำหนดสิทธิ โดยบริษัทได้ตั้งเงื่อนไขเพื่อสร้างความมั่นใจกับเจ้าหนี้ ได้แก่ การลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง โดยจะต้องไม่ทำ M&A มากกว่า 3% ของมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด และไม่ก่อหนี้เพิ่มมากว่า 1.5 แสนล้านบาทต่อไตรมาส
การประชุมผู้ถือหุ้นกู้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นกู้ ซึ่งมีความเข้าใจต่อนโยบายและแผนการดำเนินงานของบริษัทเป็นอย่างดี โดยบริษัทจะรักษาระเบียบวินัยทางการเงินอย่างสม่ำเสมอในทุกๆสถานการณ์ รวมไปถึงการจ่ายดอกเบี้ยและการจ่ายคืนเงินต้นของผู้ถือหุ้นกู้อย่างเคร่งครัด เช่นเดียวกับเจ้าหนี้และสถาบันการเงินต่างๆที่ยังคงให้การสนับสนุนและเข้าใจในสถานการณ์ของบริษัท ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้จะทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งทางการเงินที่เพียงพอสำหรับการเติบโตของธุรกิจในอีก 3 ปีข้างหน้าด้วย
เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน และให้สามารถกลับมามุ่งเน้นในการดำเนินงานของบริษัทเพื่อที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตอย่างมั่นคง บริษัทจึงได้มีออกแผนจัดหาเงินทุนสำหรับ 3 ปีข้างหน้า เป็นจำนวนเงินรวม 2.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะสามารถออกได้เสร็จสิ้นภายในไตรมาส 3/63 โดยการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมผ่านแนวทางการการเสนอขายหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (RO) วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท และการออกหุ้นกู้คล้ายทุน (Perpetual bond) เสนอขายกับนักลงทุน วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท รวมถึงการออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ครั้งที่ 7 (MINT-W7) วงเงิน 5 พันล้านบาท ที่จะมีการแปลงสภาพในช่วง 3 ปีตั้งแต่ปี 63-65 ซึ่งจะได้นำเสนอผู้ถือหุ้นของบริษัทพิจารณาอนุมัติในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 27/2563 ในวันที่ 19 มิ.ย.นี้
MINT ระบุอีกว่า ปัจจุบันสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายในหลายประเทศ ทำให้มีการเปิดประเทศและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารในประเทศจีนกลับมาฟื้นตัวขึ้นเป็นบวก ประเทศสเปนที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อกลุ่มโรงแรม NH Hotel Group
รวมทั้งในประเทศไทยที่มีการผ่อนปรนระยะที่ 3 ทำให้ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านค้า รวมทั้งการเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อการท่องเที่ยวสามารถกลับมาเปิดให้บริการตามปกติ ทำให้บริษัทสามารถกลับมาเปิดดำเนินธุรกิจได้บางส่วนแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้โรงแรมของบริษัทในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น โรงแรมอนันตรา หัวหิน รีสอร์ท และอีกหลายแห่ง มียอดจองห้องพักและแพ็กเกจพิเศษจากลูกค้าคนไทยเป็นจำนวนมาก สะท้อนความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทย และหากมีการผ่อนระยะ 4 ในเร็วๆนี้ รวมทั้งมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศของภาครัฐด้วย ที่จะเป็นปัจจัยบวก ซึ่งบริษัทมีแผนจะได้จัดกิจกรรมทางการตลาดและโปรโมชั่นเพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายของกลุ่มลูกค้าคนไทยที่เหมาะสมต่อไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 มิ.ย. 63)
Tags: MINT, ร้านอาหาร, หุ้นไทย, โรงแรม, ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล