BGRIM นำกลุ่มโรงไฟฟ้ารับปัจจัยราคาน้ำมันปรับตัวลง เมื่อเวลา 10.07 น.
- BGRIM ปรับขึ้น 2.86% หรือเพิ่มขึ้น 1.00 บาท มาที่ 36.00 บาท มูลค่าซื้อขาย 175.57 ล้านบาท
- GPSC ปรับขึ้น 1.94% หรือเพิ่มขึ้น 1.25 บาท มาที่ 65.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 127.04 ล้านบาท
- GULF ปรับขึ้น 0.54% หรือเพิ่มขึ้น 0.25 บาท มาที่ 46.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 105.06 ล้านบาท
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่ม Anti-Commodity วันนี้ฟื้นตัวขึ้นมาได้รับประโยชน์ราคาน้ำมันปรับตัวลง โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนส.ค.(30 มิ.ย.) ร่วงลง 4.02 ดอลลาร์ หรือ 3.7% ปิดที่ 105.76 ดอลลาร์/บาร์เรล ประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐก็ปรับตัวลงเช่นกันโดยลงต่ำกว่า 3% อย่างไรก็ดี ผลประกอบการของกลุ่มโรงไฟฟ้าในไตรมาส 2/65 ยังไม่ค่อยดี
ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บมจ.บี.กริมพาวเวอร์ (BGRIM) คาดกำไรปกติไตรมาส 2/65 ลดลง y-y จาก GPM การขายไฟ IU ที่ลดลงตามต้นทุนก๊าซฯที่เพิ่มขึ้น แต่ฟื้น q-q จากฐานต่ำ เพิ่มตามการปรับขึ้น Ft ของภาครัฐ 23 สตางค์/kWh โดยประเมินกำไรปี 65 ที่ 1,279 ล้านบาท (-44%y-y) จากต้นทุนก๊าซที่สูง แต่คาดฟื้นตัวสูง +105%y-y เป็น 2,618 ล้านบาท ในปี 66 แต่ราคาหุ้นสะท้อนผลกระทบต้นทุนก๊าซที่เพิ่มไปมากแล้ว โดย PER23F อยู่ที่ 35 เท่า
ทั้งนี้ กลุ่ม anti-commodity เริ่มน่าสนใจ โดยล่าสุดราคา Natural gas future -17%d-d และเริ่มเห็นสัญญาณราคาน้ำมันปรับตัวลดลง
ขณะที่บทวิเคราะห์ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า หุ้นสาธารณูปโภคถือว่าเป็นหลุมหลบภัยที่ดีในภาวะเศรษฐกิจถดถอย คาด Q3/65 แรงกดดันด้านต้นทุนพลังงานเริ่มลดลง โดยกลุ่มโรงไฟฟ้าเข้าสู่ช่วงเติบโตสูง โดยโรงไฟฟ้าเอกชนทั้ง IPP, SPP, Solar และ Wind Farm จะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (01 ก.ค. 65)
Tags: BGRIM, GPSC, GULF, หุ้นไทย, โรงไฟฟ้า