ข้อมูลของสำนักงานวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐ (BEA) เปิดเผยว่า การออมเงินของชาวอเมริกันลงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤติการเงินโลก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเต็มใจที่จะนำเงินออกมาใช้สอยแม้จะเผชิญภาวะเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบหลายสิบปี
BEA ระบุว่า อัตราการออมเงินส่วนบุคคลของชาวอเมริกันลดลงสู่ระดับ 4.4% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2551
ทั้งนี้ หลังจากรัฐบาลผ่อนคลายข้อกำหนดควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ผู้บริโภคชาวอเมริกันได้เริ่มนำเงินออกมาใช้จ่ายมากขึ้น แม้จะเผชิญภาวะเงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบ 40 ปี นอกจากนี้ ชาวอเมริกันยังใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตมากขึ้น และการกู้ยืมก็เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมี.ค.เนื่องจากของใช้ในชีวิตประจำวันมีราคาแพงขึ้น
อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายดังกล่าวอาจชะลอตัวลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่พุ่งแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้น
รายงานระบุว่า การใช้จ่ายในหมู่ชาวอเมริกันอายุน้อยฟื้นตัวขึ้นมากที่สุด โดยผลสำรวจของเวราไซท์ (Verasight) ที่จัดทำโดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่า ประชากรวัย Gen Z และชาวมิลเลนเนียล มีแนวโน้มจะเดินทางท่องเที่ยวในช่วงฤดูร้อนนี้มากกว่ากลุ่มผู้สูงอายุ
นอกจากนี้ ตัวเลขของ BEA ยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายในการบริโภคส่วนบบุคคล ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้เป็นดัชนีชี้วัดเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 6.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (30 พ.ค. 65)
Tags: ภาวะเงินเฟ้อ, สหรัฐ, เฟด, เศรษฐกิจสหรัฐ