JDF ปิดเทรดวันแรก 5.50 บาท สูงกว่าราคา IPO 111.54%

หุ้น JDF ปิดเทรดวันแรกที่ 5.50 บาท สูงขึ้น 111.54% หรือ 2.90 บาท จากราคา IPO ที่ 2.60 บาท มูลค่าการซื้อขาย 6,771.08 ล้านบาท โดยเปิดเทรดที่ 3.20 บาท ปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 5.50 บาท และต่ำสุดที่ 3.14 บาท

นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.เจดีฟู้ด (JDF) กล่าวว่า ความสำเร็จของ JDF ในการเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพการเติบโตของบริษัทฯ และโอกาสจากเทรนด์อุตสาหกรรมด้าน Food Technology เป็นรากฐานด้านปัจจัยสี่ และการบริโภคในประเทศทั่วโลก ตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน หุ้น Food Technology ที่มีทิศทางการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต สนับสนุน JDF เติบโตโดดเด่น

ด้านนางสาวรัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JDF กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจปี 65 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 25% จากสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดผ่อนคลาย ภาพรวมการบริโภคในประเทศ และการส่งออกคึกคัก ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อกลับเข้ามารับความต้องการผู้บริโภคเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งบริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศในกลุ่ม CLMV และลงทุนในระบบเทคโนโลยีและเครื่องจักรเพิ่มเติม เพื่อขยายตลาดใหม่สอดรับเทรนด์อุตสาหกรรมอาหารที่จะเติบโตในอนาคต

สำหรับตลาดในประเทศ JDF จะขยายไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ซอส ไส้กรอก เนื้อแปรรูป อาหารทะเล และแป้งทอดกรอบ ซึ่งมีตลาดค่อนข้างใหญ่และโตขึ้นทุกปีสะท้อนว่าเรื่องของ Food Technology ไม่มีทางหยุด และยังมีประเด็นการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เครื่องปรุงรสและอาหารจึงเป็นส่วนสำคัญที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสของ JDF ก้าวสู่ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอาหารได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต

พร้อมกันนั้น บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาและวิจัยนวัตกรรมทางอาหารในรูปแบบต่าง ๆ ได้แก่ สินค้าผักและผลไม้อบแห้งรองรับตลาดขนมขบเคี้ยวสาย Healthy Food ที่ใช้เทคโนโลยีการอบ 100% และ อาหารโปรตีนจากพืช (Plant base) รวมถึงต่อยอดกลุ่มสินค้าอาหารกึ่งสำเร็จรูปที่เป็นแบรนด์ของบริษัท เป็นต้น

บทวิเคราะห์ของ บล.เคทีบีเอสที ให้ราคาเป้าหมายหุ้น บมจ.เจดีฟู้ด (JDF) ที่ 3.80 บาท โดยใช้วิธี PE multiple อิง 66E PER ที่ 27.5X เทียบกับค่าเฉลี่ยใช้เทียบกับปี 66 แทนเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่บริษัทได้เพิ่มและขยายบริษัทเรียบร้อยแล้ว หลังจากปี 65 บริษัทพึ่งได้เพิ่มทุนนำไปขยายบริษัท จึงทำให้ปี 66 เป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการเทียบกับคู่แข่งที่มีลักษณะธุรกิจที่ใกล้เคียงกันในตลาด ได้แก่ NRF NSL RBF SNNP TKN และ XO โดยมีมุมมองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทอิงกับธุรกิจอุตสาหกรรมต้นน้ำอาหารที่มีอัตราการเติบโตในระยะยาวค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น คาดกำไรสุทธิปี 65 จะเติบโต +69% YoY ตามลำดับ โดยคาดว่าสถานการณ์โควิดดีขึ้นทำให้รายได้ต่างประเทศกำลับมามีบทบาทมากขึ้น

JDF เป็นผู้นำผลิตและจำหน่ายวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนผสมอาหารหลัก โดยมีกลุ่มลูกค้าหลักคือ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอาหาร บริการอาหาร และลูกค้าทั่วไป โดยมีรายได้จากการขายทั้งในและนอกประเทศ เราชอบในความสม่ำเสมอของการเติบโตของรายได้ในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งบริษัทให้ความสำคัญฝ่าย R&D เป็นอย่างมาก ที่จะช่วยสร้างความโดดเด่นรสชาติของสินค้าและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและผู้บริโภค ทำให้ลูกค้ายากต่อการเปลี่ยน Supplier

ประเมินกำไรสุทธิปี 65 ที่ 74 ล้านบาท (+69% YoY) จากการคาดว่าสถานการณ์โควิด และวิกฤติขำดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ดีขึ้น ทำให้รายได้ต่างประเทศฟื้นตัวดีขึ้น นอกจากนี้บริษัทกำลังขยายตลาดไปต่างประเทศมากขึ้นโดยเฉพาะโซน CLMV ทำให้เพิ่มฐานลูกค้ามากขึ้น ซึ่งบริษัทตั้งใจตั้งสำนักงานและหน่วยวิจัยในตลาดต่างประเทศอีกด้วย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 เม.ย. 65)

Tags: , , ,
Back to Top