นางสาวชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ (WP) เปิดเผยว่า บริษัทมองหาโอกาสธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อเข้ามาเป็น New S-Curve สนับสนุนให้บริษัทเติบโตแบบยั่งยืน แม้ว่าในอนาคตธุรกิจ LPG จะยังคงเป็นธุรกิจหลักต่อไป โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ศึกษาธุรกิจก๊าซ LNG มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามราคา LNG ที่ปัจจุบันยังสูงกว่า LPG และพิจารณาความพร้อม แต่บริษัทยอมรับว่าได้มีการเจรจากับพันธมิตรบางรายแล้ว
สำหรับธุรกิจซ่อมบำรุงรักษาถังก๊าซนั้น บริษัทเพิ่งเข้าซื้อกิจการเมื่อปี 64 ซึ่งธุรกิจนี้จะช่วยลดต้นทุนได้ประมาณ 10-15% โดยในปีนี้เป็นปีแรกที่จะเห็นการลดต้นทุนได้บ้าง และจะลดต้นทุนได้เต็มที่ในปี 66 นอกจากนี้มีแผนที่จะผลิตถังก๊าซที่ใช้อลูมิเนียมเป็นวัสดุการผลิต แต่การจะผลิตทดแทนของเดิมก็ต้องศึกษาให้ลึกซึ้ง เพราะ LPG เป็นสินค้าควบคุม บริษัทจึงต้องศึกษาและพัฒนาตัวถังที่ทำจากอลูมเนียม
นางสาวชมกมล ยังกล่าวว่า บริษัทไม่ปิดโอกาสที่จะหา Strategic Partner และไม่ปิดโอกาสการเข้าซื้อกิจการ (M&A) เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท
ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 64 บริษัทมีเงินสดในมือ 623 ล้านบาท และอัตรส่วนหนี้สินที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนผู้ถือหุ้นที่ 0.44 เท่า และคาดว่าจะลดลงเป็น 0.37 เท่าในปีนี้
นายนพวงศ์ โอมาธิกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงินและบริหารองค์กร WP เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 65 เติบโต 5% มาเป็น 12,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 11,540 ล้านบาท โดยมียอดขายก๊าซ LPG อยู่ที่ 7.65 แสนตัน แบ่งเป็นขายในประเทศ 7.4 แสนตัน และส่งออก 2.5 หมื่นตัน เติบโตจากยอดขายในปี 64 ที่มี 7.14 แสนตัน เป็นยอดขายในประเทศ 6.96 แสนตัน และส่งออก 1.85 หมื่นตันไปเวียดนาม
สำหรับยอดขาย LPG กลุ่มหลักยังคงเป็นกลุ่มครัวเรือนที่ปีนี้คาดว่าจะมีสัดส่วนเพิ่มเป็น 67% จาก 57% ในปีก่อน และกลุ่มอุตสาหกรรม สัดส่วนเพิ่มเป็น 12% จาก 9% ในปีก่อน
นายนพวงศ์ กล่าวว่า ยอดขายในเดือน ม.ค.-ก.พ.65 มีแนวโน้มดีกว่าปี 64 จึงคาดว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 จะเติบโตจากไตรมาส 1/64 แต่จะใกล้เคียงในไตรมาส 4/64
ขณะที่ประเมินภาพรวมธุรกิจ LPG ในปีนี้ น่าจะขยายตัวราว 2-3% จากปี 64 เพราะภาคอุตสาหกรรมขยายตัวมากขึ้น ส่วนภาคครัวเรือนก็คาดว่าทรงตัว หรืออาจขยายเล็กน้อย แต่ในส่วนสถานีบริการจะปรับตัวลดลง
ส่วนราคาก๊าซ LPG ขณะนี้แม้ว่าจะตรึงราคาตามนโยบายรัฐบาล แต่แนวโน้มราคาในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น และมีแนวโน้มราคาในประเทศจะปรับตัวขึ้นตาม ซึ่งบริษัทจะมีการปรับขึ้นราคาขายด้วย แต่ดีมานด์ไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก อย่างไรก็ดี ต้นทุนของบริษัทอาจเพิ่มขึ้น แต่สต็อกที่บริษัทมีอยู่ก็จะได้รับประโยชน์จากราคา LPG ที่สูงขึ้น ถือว่าเป็นภาพบวกต่อบริษัท
ขณะที่งบลงทุนในปี 65 บริษัทตั้งงบไว้จำนวน 860 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนที่มี 500 ล้านบาท โดยบริษัทจะนำไปลงทุนในธุรกิจปลายน้ำ ที่จะขยายจุดกระจายสินค้ากับกลุ่ม B2B จำนวน 10 แห่ง และกลุ่ม B2C จำนวน 22 แห่ง และธุรกิจติดตั้งระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท็อป ) รวมทั้งโซลาร์ฟาร์ม เพิ่มเป็น 20 เมกะวัตต์ จากปีก่อนมีโซลาร์รูฟท็อป 6 เมกะวัตต์
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มี.ค. 65)
Tags: New S-curve, WP, ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง, ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่, นพวงศ์ โอมาธิกุล, หุ้นไทย