นายพิพัฒน์ วิริยธรานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บมจ.เอสพีซีจี (SPCG) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 เติบโตไม่น้อยกว่า 4.7 พันล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้ 4.5 พันล้านบาท หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กำลังการผลิตรวม 500 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาที่มีความคืบหน้าไปแล้วราว 70-80% คาดว่าจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนและกำหนด COD ในครึ่งหลังของปีนี้
ส่วนโครงการโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น UKUJIMA MEGA SOLAR PROJECT กำลังการผลิตติดตั้งรวม 480 เมกะวัตต์ กำหนด COD ในเดือน ก.ค.66 ขณะนี้ใช้งบลงทุนไปแล้วราว 1.2 พันล้านบาท และจะเงินลงทุนเพิ่มอีก 1.3 พันล้านบาทในเดือน ต.ค.65 ขณะที่โครงการ FUKUOKA MIYAKO MEGA SOLAR PROJECT (South Phase) กำลังการผลิต 44 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการก่อสร้างเพื่อให้สามารถ COD ได้ตามแผนในเดือน ก.พ.66
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 1/65 โครงการโซลาฟาร์มยังสามารถผลิตไฟฟ้าได้ใกล้เคียงกับแผนที่กำหนดไว้ แม้ในเดือน ก.พ.จะมีฝนมากและจำนวนวันน้อยกว่าเดือนอื่น ทำให้ปริมาณผลิตไฟฟ้ามีน้อยลง แต่เดือน ม.ค.และ มี.ค.ยังคงเป็นไปตามแผน
ส่วนกรณีข้อพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครนที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลต่อราคาต้นทุนวัสดุบ้าง แต่บริษัทยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผน
และจากมติของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่ปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) ในรอบเดือน พ.ค.-ส.ค. 65 โดยให้เรียกเก็บที่ 24.77 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์/หน่วย เป็น 4.00 บาท/หน่วย ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนรายได้ของบริษัทให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ธุรกิจลีสซิ่งโซลาร์เพาเวอร์รูฟที่ดำเนินการภายใต้บริษัท MSEK Power จากการสำรวจตลาด พบว่ามีลูกค้าราว 70% ที่ให้ความสนใจ แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาเผชิญกับสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจออกไป การปล่อยสินเชื่อจึงไม่เป็นไปตามแผน ปัจจุบันจึงอยู่ระหว่างการปรับปรุงแผนการดำเนินงาน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มี.ค. 65)
Tags: SPCG, พิพัฒน์ วิริยธรานนท์, หุ้นไทย, เอสพีซีจี, โซลาร์ฟาร์ม, โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์