ทริสฯ คงอันดับเครดิตองค์กร STGT ที่ A- ปรับแนวโน้มเป็น Positive

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) (STGT) ที่ระดับ “A-” พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Positive” หรือ “บวก” จาก “Stable” หรือ “คงที่”

โดยแนวโน้มอันดับเครดิตเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทแม่คือ บมจ. ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) (ได้รับการจัดอันดับเครดิต “A-/Positive” จาก ทริสเรทติ้ง)

ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีฐานะเป็นบริษัทย่อยหลักของ STA ซึ่งหมายความว่าอันดับเครดิตของบริษัทนั้นอยู่ในระดับเท่ากับอันดับเครดิตของบริษัทแม่ตาม “เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตกลุ่มธุรกิจ” (Group Rating Methodology) ของทริสเรทติ้ง ทั้งนี้ สถานะในการเป็นบริษัทย่อยหลักสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งของบริษัททั้งสองในฐานะบริษัทแม่และบริษัทลูก โดย STA ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 56.1% นอกจากนี้ คณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทแม่ยังมีอิทธิพลต่อกลยุทธ์ทางธุรกิจและนโยบายทางการเงินของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังคงพิจารณาให้อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท (Stand-alone Credit Profile) อยู่ที่ระดับ “a” ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตของรายได้และการมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง รวมถึงการบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียนที่มีเสถียรภาพ ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป็นหนึ่งในผู้นำในการผลิตถุงมือยางของโลกซึ่งมีฐานลูกค้าที่กระจายตัวอยู่ในหลายภูมิภาค รวมถึงมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทเติบโตก้าวกระโดด 227% เมื่อเทียบกับปีก่อนมาอยู่ที่ระดับ 2.85 หมื่นล้านบาท อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 69% จากระดับ 26% ในช่วงเดียวกันของปี 2563 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนรวมของบริษัท ณ เดือนมิถุนายน 2564 อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำมาก

แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทศรีตรังแอโกรอินดัสทรี ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าสถานะของบริษัทในการเป็นบริษัทย่อยหลักของ STA จะยังคงอยู่ต่อไปไม่เปลี่ยนแปลงในอนาคตข้างหน้า

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตของบริษัทจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกับอันดับเครดิตของ STA อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทสามารถรักษาเสถียรภาพในการสร้างกระแสเงินสดและความสามารถในการทำกำไรเอาไว้ได้ในขณะที่ยังคงรักษางบดุลให้แข็งแรงต่อไปได้เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 ต.ค. 64)

Tags: , , , , ,
Back to Top