ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 300 จุดเมื่อคืนนี้ (4 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า รัฐบาลสหรัฐอาจเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,002.92 จุด ลดลง 323.54 จุด หรือ -0.94%
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,300.46 จุด ลดลง 56.58 จุด หรือ -1.30%
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,255.48 จุด ลดลง 311.21 จุด หรือ -2.14%
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.470% เมื่อคืนนี้ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อหุ้นที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่างๆเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่สภาคองเกรสยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้ ขณะที่เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ (S&P) เตือนว่า ตลาดการเงินอาจได้รับผลกระทบรุนแรงหากสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ และอาจทำให้สหรัฐมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงสู่ระดับ D ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงหนักสุดถึง 2.36% โดยหุ้นแอปเปิล ดิ่งลง 2.46% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 2.11% หุ้นแอมะซอน ร่วงลง 2.85% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ลดลง 1.6% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 2.07% หุ้นทวิตเตอร์ ทรุดลง 5.78%
หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 4.89% หลังมีรายงานว่า เฟซบุ๊ก รวมทั้งอินสตาแกรมและ WhatsApp ซึ่งเป็นบริการในเครือของเฟซบุ๊ก ต่างประสบปัญหาขัดข้องทางเทคนิคและทำให้ผู้ใช้บริการทั่วโลกไม่สามารถเข้าใช้งานได้เมื่อคืนนี้ ตั้งแต่เวลา 22.30 น.ตามเวลาไทย
หุ้นบริษัทผลิตวัคซีนร่วงลง หลังจากบริษัทเมอร์ค แอนด์ โคเปิดเผยผลการทดลองระบุว่า ยาโมลนูพิราเวียร์ (molnupiravir) ซึ่งเป็นยาเม็ดสำหรับรักษาโรคโควิด-19 นั้น มีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสโควิด-19 ทุกสายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์เดลตา ทั้งนี้ หุ้นไฟเซอร์ ร่วงลง 1.19% หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ลดลง 0.78% หุ้นโมเดอร์นา ดิ่งลง 4.47% หุ้นโนวาแวกซ์ ร่วงลง 1.83%
ไมเคิล ยี ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพของบริษัทเจฟเฟอรีส์ กล่าวว่า การร่วงลงของหุ้นบริษัทไฟเซอร์และโมเดอร์นาสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนจะกลัวโควิด-19 น้อยลง และจะลดความต้องการฉีดวัคซีน เนื่องจากมียาเม็ดที่รับประทานได้ง่ายเพื่อรักษาโรคโควิด-19
ทั้งนี้ ข่าวความคืบหน้าในการทดลองยาโมลนูพิราเวียร์เป็นปัจจัยหนุนหุ้นเมอร์ค แอนด์ โค พุ่งขึ้น 2.09%
หุ้นเทสลา ดีดตัวขึ้น 0.81% หลังบริษัทเปิดเผยยอดการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 241,300 คันในไตรมาส 3/2564 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 220,900 คัน
ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 1.63% หลังจากราคาน้ำมัน WTI ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปี โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 1.3% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม พุ่งขึ้น 2.12% หุ้นเชฟรอน บวก 0.37% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 3.32% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ เพิ่มขึ้น 1.98%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐดีดตัวขึ้น 1.2% ในเดือนส.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.0% หลังจากปรับตัวขึ้น 0.7% ในเดือนก.ค.
นักลงทุนจับตาสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนก.ย.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของ FactSet คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ย.ของสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 475,000 ตำแหน่ง ซึ่งดีกว่าในเดือนส.ค.ที่เพิ่มขึ้นเพียง 235,000 ตำแหน่ง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ต.ค. 64)
Tags: Nasdaq, S&P500, ดาวโจนส์, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นนิวยอร์ก