นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL) เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังของบริษัทจะยังคงได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และมาตรการภาครัฐ ที่ทำให้เวลาในการเปิดให้บริการลดลง รวมไปถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคก็ลดลงเช่นกัน
“ปัจจัยการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ส่วนมาตรการภาครัฐก็จำเป็นต้องออกมาเพื่อช่วยด้านสุขอนามัย ซึ่งก็กระทบกับเวลาการเปิดสาขาของเรา โดยในไตรมาส 2/64 ที่ผ่านมา เรามียอด SSSG ที่ 67,767 บาทต่อสาขาต่อวัน และมีผู้ใช้บริการเพียง 823 คนต่อสาขาต่อวัน ซึ่งถ้าเป็นช่วงปกติจะมีมากกว่า 1 พันคนต่อสาขาต่อวัน”
แต่อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ความถี่ที่ออกมาซื้อของจะลดลง แต่การซื้อแต่ละครั้งก็จะเป็นการซื้อสินค้าที่มีจำนวนมาก ซึ่งทางบริษัทฯ พยายามจัดสรรสินค้าให้ตอบโจทย์ เช่น เพิ่มสินค้าของสดเข้าไป หรือเพิ่มสินค้าให้เป็นไซส์ที่ใหญ่ขึ้น เพื่อให้บริโภคได้หลายวันช่วงอยู่บ้าน โดยยังคงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มยอดขายและควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับช่องทางขาย O2O (Online to Offline) ไม่ว่าจะเป็นผ่านเว็บไซต์ หรือ แอพพลิเคชั่น ก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามยุค New normal ที่ผู้บริโภคต้องการความสะดวกและปลอดภัยถึงที่บ้าน โดยปัจจุบันสัดส่วนช่องทาง O2O มีสัดส่วนมากกว่า 10% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งช่วยเข้ามาทดแทนการขายหน้าร้านที่มียอดขายลดลงได้บ้าง
นายเกรียงชัย กล่าวถึงแผนการขยายสาขาว่า ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาโลเคชั่นที่เหมาะสมและสามารถทำกำไรได้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ขยายเพิ่มไปแล้ว 311 แห่ง ทำให้ปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 12,743 แห่งทั่วประเทศ โดยคิดเป็นสัดส่วนในพื้นที่กทม. 43% และต่างจังหวัด 57%
ด้านแผนการเปิดสาขาที่สปป.ลาวและกัมพูชา แม้ยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่บริษัทก็เตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่อง เพื่อหากสถานการณ์เริ่มคลี่คลายจะได้เริ่มดำเนินการต่อ โดยคาดว่าภายในปีนี้น่าจะเปิดสาขาที่กัมพูชาได้ก่อนเป็นแห่งแรก
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 ส.ค. 64)
Tags: CPALL, ซีพี ออลล์, ผลประกอบการ, หุ้นไทย, เกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ