นายพิศาล รัชกิจประการ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อาม่า มารีน (AMA) เปิดเผยกับ “อินโฟเควสท์” ว่า บริษัทคาดว่ากำไรสุทธิในปี 64 จะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 170.34 ล้านบาท โดยยังคงต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในประเทศที่อาจจะมีผลกระทบกับปริมาณการใช้น้ำมัน และการเดินทางของประชาชนในประเทศ โดยจะมีผลต่อปริมาณการขนส่งน้ำมันให้กับลูกค้าหลักอย่าง บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) แม้ธุรกิจโลจิสติกส์ซึ่งได้รับการยกเว้นจากรล็อกดาวน์จะมีการเติบโต แต่อย่างไรก็ตามจะไม่เท่ากับปริมาณการใช้น้ำมันในกลุ่มการเดินทางของภาคประชาชน
ในขณะเดียวกันเริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้นสำหรับการขนส่งน้ำมัน โดยเฉพาะการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ของคนขับรถขนส่ง ทำให้ต้นทุนของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ปัจจุบันพนักงานขับรถของบริษัทได้มีการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 300 คน หลังจากนี้จะเดินหน้าฉีดวัคซีนให้กับพนักงานให้ครบทั้งหมดเพื่อที่จะลดความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสโควิด-19
สำหรับธุรกิจการให้บริการขนส่งทางน้ำคาดว่าจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ด้วยจำนวนเรือที่ปรับตัวลดลงเหลือ 9 ลำ น้ำหนักบรรทุกรวม 8.5 หมื่นเดทเวตตัน จากปีก่อนที่มีน้ำหนักบรรทุกที่ 9.2 หมื่นเดทเวตตัน และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กระทบกับการขนส่งในบางประเทศที่จะต้องมีการกักตัว 14 วัน เมื่อมีการเข้าส่งสินค้า แต่อย่างไรก็ตาม จากเงินบาทอ่อนค่าและอัตราการใช้เรือ ( Fleet Utilization) อยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงเฉลี่ย 95% เชื่อว่าจะเข้ามาช่วยประคองภาพรวมของธุรกิจการเดินเรือได้
ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารของบริษัทเตรียมเสนอแผนเข้าซื้อกิจการ (M&A) ให้กับที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเพื่อพิจารณาในวันที่ 6 ส.ค. หลังจากที่ได้ทำดิวดิลิเจนซ์แล้วเสร็จ โดยหากได้รับการอนุมัติก็คาดว่ากระบวนการต่างๆ จะแล้วเสร็จภายในช่วงไตรมาส 3/64 ก่อนที่จะเริ่มรับรู้รายได้จากกิจการดังกล่าวในไตรมาส 4/64 โดยการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้เป็นการกระจายไปในธุรกิจการขนส่งสินค้าอื่นๆ ที่นอกเหนือจากกลุ่มที่บริษัทให้บริการอยู่เพื่อกระจายความเสี่ยงการรับรู้รายได้ให้หลากหลายมากขึ้น
“ปีนี้ถือเป็นปีที่เหนื่อย โดยภาพรวมรายได้เราเติบโตแน่ เพราะค่าน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามบริษัทได้เน้นมาบริหารจัดการต้นทุน ดูแลการให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อที่จะให้มีกำไรสุทธิที่ใกล้เคียงปีก่อนได้ และเดินหน้าที่จะซื้อกิจการเพื่อที่จะรับรู้รายได้ทันที ที่จะเข้ามาช่วยหนุนผลประกอบการอีกทางหนึ่ง”
นายพิศาล กล่าว
นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการจัดทำแผนการดำเนินงานระยะ 5 ปี ข้างหน้า คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ต.ค.64 ซึ่งจะช่วยให้บริษัทเห็นแผนการดำเนินกิจการที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และมีความหลากหลาย โดยบริษัทจะเน้นการกระจายความเสี่ยงไปยังหลากหลายธุรกิจมากขึ้น และแผนการเติบโตปดติ รวมไปถึงการเติบโตจากการเข้าซื้อกิจการด้วย
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (05 ส.ค. 64)
Tags: AMA, ขนส่งทางเรือ, พิศาล รัชกิจประการ, หุ้นไทย, อาม่า มารีน, โลจิสติกส์