การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา เปิดเผยรายงานล่าสุด ระบุว่า การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่ยังคงวิกฤตทั่วโลกในขณะนี้ จะส่งผลให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ทั่วโลกหดตัวลงราว 30-40%
รายงานระบุว่า “โควิด-19 ไม่ใช่แค่ปัญหาของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกอีกต่อไป แต่จะส่งผลกระทบต่อตัวเลข FDI และห่วงโซ่มูลค่าของโลก”
แม้จะมีผลกระทบเริ่มปรากฏให้เห็นจากความจำเป็นที่ต้องระงับการผลิตจนกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และต่อระบบเศรษฐกิจที่มีการบูรณาการอย่างใกล้ชิดกับห่วงโซ่มูลค่าทั่วโลกมาแล้ว แต่ความพยายามในการลดการแพร่กระจายด้วยการประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วโลกที่เห็นอยู่ในขณะนี้ จะยิ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงขึ้นต่อทุกประเทศ โดยไม่เกี่ยวว่าพวกเขาจะมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายอุปทานทั่วโลกแค่ไหน” รายงานระบุ
รายงานระบุว่า อุตสาหกรรมทั่วโลกอาจมีผลประกอบการลดลงเฉลี่ย 30% ในปี 2563 เมื่อประเมินจากผลประกอบการของบริษัทข้ามชาติ (MNE) ขนาดใหญ่ 5,000 แห่งในอุตสาหกรรมพลังงาน, วัสดุพื้นฐาน, สายการบิน และยานยนต์ ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด
รายงานระบุต่อไปว่า ธุรกิจ MNE ในประเทศพัฒนาแล้วมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบมากกว่า โดยคาดว่าอาจมีผลประกอบการลดลงเฉลี่ย 35% เมื่อเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาที่คาดว่าผลประกอบการจะลดลงราว 20%
สภาวะการหดตัวของผลประกอบการธุรกิจจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในสหรัฐจากการถ่วงน้ำหนักของบริษัทข้ามชาติในภาคพลังงาน ส่วนยุโรปก็กำลังเผชิญกับการชะลอตัวมากกว่าในเอเชียขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ MNE ของจีนคาดว่าจะได้รับผลกระทบรุนแรงน้อยกว่าที่ประมาณการไว้เมื่อต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา โดยลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะหดตัวลง 26% เหลือเพียง 21%
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 มี.ค. 63)
Tags: UNCTAD, การลงทุนทางตรง, สหประชาชาติ, เศรษฐกิจโลก