
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีจี แพคเกจจิ้ง [SCGP] เปิดเผยว่าทิศทางผลประกอบการในไตรมาส 2/68 คาดรายได้เติบโตต่อเนื่อง หลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 1/68 เนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นซึ่งได้แรงหนุนจากการบริโภคในประเทศ จากไตรมาส 2/68 ที่มีวันหยุดค่อนข้างมาก รวมทั้งยอดขายในเวียดนามที่กำลังฟื้นตัว และส่งออกยังได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐเลื่อนเก็บภาษี 90 วัน แม้ราคาบางกลุ่มจะทรงตัว แต่ด้วยปริมาณขายที่คาดว่าสูงขึ้น มองผลการดำเนินงานเติบโตต่อได้
โดยภาพรวมทั้งปี 68 ยังคงเป้าหมาย EBITDA 18,000 ล้านบาท เพิ่มโอกาสทางธุรกิจและลดต้นทุนประมาณ 600 ล้านบาท พร้อมทั้งใช้งบลงทุน 13,000 ล้านบาท ในไตรมาส 1/68 ใช้ไปแล้ว 1,143 ล้านบาท ซึ่งเตรียมจะใช้ในการลงทุนร่วมกับพาร์ทเนอร์ (M&P) ในช่วงไตรมาส 3/68 โดยปัจจุบันมีการเจรจาอยู่ประมาณ 2 ราย โดยจะมุ่งเน้นการลงทุนในเวียดนามและอินโดนีเซีย ขณะที่ภาพรวมทั้งปี 68 ต้องติดตามสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังเพราะยังมีความไม่แน่นอน
ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไตรมาสที่ 2/68 คาดว่าอาเซียนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ความต้องการในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงเติบโตจากนโยบายกระตุ้นภายในประเทศ โดยคาดว่า GDP จะเติบโตเฉลี่ย 2-7% ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ โดยที่ยังคงสูงกว่าภูมิภาคอื่น และความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์กลุ่มสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นในช่วงก่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้า สำหรับต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลและค่าขนส่งมีแนวโน้มปรับขึ้นเล็กน้อยจากความต้องการในภูมิภาค ขณะที่ต้นทุนพลังงานมีแนวโน้มทรงตัว และมีความท้าทายจากภาคการส่งออกที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
สำหรับการรับมือจากมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) SCGP ได้เตรียมแผนเชิงรุก มุ่งปรับตัวรวดเร็ว สร้างความสามารถและความได้เปรียบในการแข่งขันผ่านคุณภาพสินค้าความร่วมมือ สร้างความเป็นเลิศด้านการตลาด (Marketing Excellence) เพื่อส่งมอบสินค้า บริการและโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เตรียมแผนการใช้ประโยชน์จากฐานการผลิตที่ตั้งอยู่ในหลายประเทศและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงแผนการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูง อีกทั้งยังมีการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และการจ้างผลิตเพื่อให้ได้ต้นทุนที่แข่งขันได้ เช่น การผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารในยุโรปตะวันออก
นอกจากนี้บริษัทได้ศึกษาการลงทุนในสหรัฐ ซึ่งก่อนช่วงโควิด-19 ลูกค้ามีความต้องการให้บริษัทตั้งโรงงานในสหรัฐ แต่เมื่อพิจารณาค่าใช้จ่ายในการตั้งโรงงานค่อนข้างสูง จึงมองว่าการตั้งคลังเก็บสินค้าคุ้มค่ากว่า เพราะปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนแปลง เนื่องจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐ ทำให้การลงทุนต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง โดยจะเป็นรูปแบบการลงทุนร่วมกับพันธมิตรเป็นหลัก
นอกจากนี้ ยังเดินหน้ากลยุทธ์สร้างการเติบโตด้วยการมุ่งเน้นขยายตลาดในอาเซียน รวมถึงการเพิ่มโอกาสใหม่ในกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค เพื่อนำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร โดยได้ร่วมลงทุนในบริษัทโฮวะ แพ็คเกจจิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในสัดส่วน 25% กับ Howa Sangyo Company Limited เพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวสำหรับอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียก ด้วยกำลังการผลิต 6,000 ตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตในเดือนมิถุนายนปีนี้
อีกทั้งเดินหน้ากลยุทธ์การเติบโตในตลาด Healthcare Supplies ด้วยการผสานความร่วมมือกับ Once Medical Company Limited (Once) นำความเชี่ยวชาญมาผลิตหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาที่บริษัทวีอีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด (VEM-TH) ในประเทศไทย ด้วยงบลงทุนประมาณ 142.3 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนมกราคม ปี 2569 ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้ากระบอกฉีดยาและเข็มฉีดยาของประเทศไทย และช่วยเพิ่มโอกาสการขายผ่านช่องทางของ Deltalab, S.L. ในประเทศสเปนด้วย โดยตั้งเป้ารายได้ 5 ปี รายได้ธุรกิจดังกล่าวแตะหมื่นล้านบาท
ขณะที่ภาพรวมในไตรมาส 1/68 อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อาเซียนเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเตรียมสินค้าก่อนถึงวันหยุดในไทยและอินโดนีเซีย การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าก่อนมาตรการภาษี อย่างไรก็ตาม ความต้องการบรรจุภัณฑ์บางส่วนในจีนและเวียดนามได้รับผลกระทบจากวันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ ประกอบกับความต้องการในสินค้าคงทนที่ชะลอตัวจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จำกัดมากขึ้น
SCGP มุ่งเน้นการขายภายในประเทศภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอบสนองความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มสัดส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์อุปโภคบริโภค รวมถึงปรับกลยุทธ์การส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน เอเชียใต้ และตะวันออกกลางนอกจากนี้ SCGP สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุนด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning รวมถึงการจัดการต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) ที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/68 มีรายได้จากการขาย 32,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มี EBITDA เท่ากับ 4,232 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 49 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
บริษัทฯ ได้มุ่งพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน โดยสัดส่วนรายได้จากกลุ่มสินค้านวัตกรรมและโซลูชัน คิดเป็น 39% ของรายได้จากการขายรวมในไตรมาสที่ 1/68 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 37% ในปี 2567 และล่าสุด Paper Cutlery หรือนวัตกรรมช้อน ส้อม และมีด ที่ผลิตจากกระดาษ แบรนด์ “Fest by SCGP” ได้รับรางวัลชนะเลิศ THAIFEX-HOREC Innovation Awards จากเวที THAIFEX-HOREC Asia 2025นอกจากนี้ SCGP ขับเคลื่อน ESG เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในไตรมาสแรกสามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลเป็น 42% จาก 38% ในปีก่อน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 เม.ย. 68)
Tags: SCGP, วิชาญ จิตร์ภักดี, หุ้นไทย, เอสซีจี แพคเกจจิ้ง