
นักวิเคราะห์ฯ คาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวในกรอบ โดยตลาดยังคงคาดหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศต่าง ๆ ส่วนปัจบัยในประเทศรอติดตามการประชุมกนง.ในสัปดาห์นี้ว่าจะมีการพิจารณาดอกเบี้ยนโยบายอย่างไร พร้อมให้แนวต้าน 1,165-1,170 จุด แนวรับ 1,130-1,135 จุด
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดแกว่งไซด์เวย์ในกรอบ โดยตลาดยังคงมีความคาดหวังในเรื่องการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศต่าง ๆ ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยที่ตลาดติดตาม โดยที่ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้าวันนี้ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น
ขณะที่ปัจจัยในประเทศสัปดาห์นี้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่าจะมีการพิจารณาเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบนี้อย่างไร และติดตามการรายงานผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1/68 ที่จะทยอยออกมา ซึ่งมีผลต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทย
โดยให้แนวต้าน 1,165-1,170 จุด แนวรับ 1,130-1,135 จุด
*ประเด็นพิจารณาการลงทุน
– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (25 เม.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 40,113.50 จุด เพิ่มขึ้น 20.10 จุด หรือ +0.05%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,525.21 จุด เพิ่มขึ้น 40.44 จุด หรือ +0.74% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,382.94 จุด เพิ่มขึ้น 216.90 จุด หรือ +1.26%
– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดที่ 35,962.80 จุด เพิ่มขึ้น 257.06 จุด หรือ +0.72% ดัชนี
ฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ 22,072.35 จุด เพิ่มขึ้น 91.61 จุด หรือ +0.42% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ 3,292.06 จุด ลดลง 3 จุด หรือ -0.09%
– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (25 เม.ย.) 1,159.00 จุด เพิ่มขึ้น 12.14 จุด (+1.06%) มูลค่าซื้อขาย 33,148.95 ล้านบาท
– นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ (25 เม.ย.) 1,860.38 ล้านบาท
– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน มิ.ย. (25เม.ย.) เพิ่มขึ้น 23 เซนต์ หรือ 0.37% ปิดที่ 63.02 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ลดลง 2.6% ในรอบสัปดาห์นี้
– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (25 เม.ย.) 5.04 เหรียญ/บาร์เรล
– เงินบาทเปิด 33.65/66 คาดกรอบวันนี้ 33.50-33.80 จับตาผลประชุมกนง.กลางสัปดาห์
– กางแผนรัฐบาล เตรียมผลักดันกฎหมายกู้เงิน 5 แสนล้านบาท พุ่งเป้าแก้ปัญหาน้ำ กระตุ้นการจ้างงาน พร้อมออกซอฟท์โลน ช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาษีตอบโต้สหรัฐฯ ขณะที่ IMF ปรับลดเศรษฐกิจไทยเหลือ 1.8% ห่วงหนี้สาธารณะไทยพุ่งทะลุค่าเฉลี่ยอาเซียน
– “ท่องเที่ยว” เส้นเลือดใหญ่อุ้มเศรษฐกิจเข้าสู่โหมดอันตราย กระแส ชความไม่ปลอดภัยยังว่อนโซเชียล ความเชื่อมั่นกู่ไม่กลับ นักท่องเที่ยวจีนร่วงหนักเหลือ 5-6 พันคนต่อวัน ความนิยมจีนเที่ยวไทยหลุดไปอันดับ 7 สวนทางคนจีนยังแห่เที่ยวนอก บี้ ททท.ปัมตัวเลขด่วน สมาคมแอตต้า นำทัพบิ๊กเอเย่นต์ถกทางออก ของบ 300 ล้าน อุ้มชาร์เตอร์ไฟลต์-อัดฉีดเอเย่นต์จีนเติมหัวเชื้อ พร้อมจัด Maga FAM Trip เชิญ 300 เอเย่นต์จากทุกมณฑลมาอัพเดต โปรดักต์เที่ยวไทยฟื้นเชื่อมั่นปลายเดือน พ.ค.นี้
– กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยลงเหลือ 1.8% เนื่องจากกังวลปัญหาสงครามการค้าโลกที่รุนแรงขึ้น ธนาคารโลกมีการได้อัปเดตภาวะเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ในการประชุมฤดูใบไม้ผลิของไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก ประจำปี 2568 เช่นกัน โดยคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ.2568 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก จะลดลงมาอยู่ที่ 4.0% จากเดิมที่อยู่ที่ 5.0% ในปี พ.ศ.2567
– รมช.คลัง กล่าวในวันที่ 30 เม.ย.นี้จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งเป็นอำนาจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ให้ทาง กนง. พิจารณาว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างไรบ้าง
*หุ้นเด่นวันนี้
– PTTEP (ลิเบอเรเตอร์) ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 145 บาท คาดกำไรไตรมาส 1/68 กำไรดีกว่าคาจากปริมาณขายและราคาขายเฉลี่ยมากกว่าคาดแนวโน้มปริมาณขายไตรมาส 2/68 ฟื้นตัว q-q แต่แนวโน้มราคาน้ำมันที่ลดลงและการปรับราคาขายรอบใหญ่อาจกดดันการดำเนินงานอุปสงค์น้ำมันดิบในภาพรวมยังมีความเสี่ยง เน้นซื้อขายเล่นรอบไปก่อน
– OKJ (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 13.31 บาท แนวโน้มการดำเนินงานยังมีแรงหนุนจากแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ๆตามกระแสนิยม โดยล่าสุด เปิดร้านไก่ทอด Joe Wings ด้าน OKJ เอง ปีนี้ ตั้งเป้าผลักดันรายได้เติบโต 20-30% ส่วนแผนงานปี67-71 ต้องการรักษาทิศทางรายได้ไม่ต่ำกว่าปี 64-66 ที่เติบโตเฉลี่ย 40% และจะขยายสาขาทั้ง 3 แบรนด์หลัก คือ “โอ้กะจู๋” เป็น 67 สาขา+ร้าน Deliver & Kiosk รวม 37 สาขา/ “Ohkajhu Wrap & Roll” เป็น 20 สาขา/ “Oh Juice” เป็น 70 สาขา ปัจจุบัน ตลาดคาดกำไรสุทธิปี68และ69 ของ OKJ จะอยู่ที่ระดับ 307 ลบ.(+52%YoY) และ 401 ลบ.(+31%YoY)
– GULF (กสิกรไทย) ราคาพื้นฐาน 61.00 บาท คาดว่าแนวโน้มกำไรในไตรมาส 1/2568 ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยปัจจัยการเติบโตเชิง YoY ได้แรงหนุนจากการดำเนินงานเต็มปีของโรงไฟฟ้า IPP ที่เริ่ม COD ในปี 2567 จำนวน 2.07 GW และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีก 500-600 MW ทั้งนี้ GULF จะมีการ COD โรงไฟฟ้าใหม่ในปี 2568 ได้แก่ HKP ยูนิต 2 (770 MW) ในเดือนมกราคม 2568 และโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (700 MW) ในช่วงปลายปี หนุนการเติบโตของรายได้และกำไรในปี 2568 เพิ่มขึ้น 27% และ 14% ตามลำดับ หลังควบรวมกิจการกับ INTUCH จะช่วยให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของ GULF ลดลงจาก 2.2 เท่า มาอยู่ที่ต่ำกว่า 1.0 เท่า ทำให้สามารถกู้เพิ่มได้มากขึ้นเพื่อระดมทุนสำหรับโครงการใหม่ อีกทั้ง TRIS ได้เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทจาก “A+” เป็น “AA-” ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของเงินกู้และหุ้นกู้ใหม่ในอนาคตลดลง
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (28 เม.ย. 68)
Tags: SET, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นไทย, หุ้นไทย