
เซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิ้งส์ (Seven & i Holdings) เจ้าของร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Eleven) คาดว่าจะต้องทบทวนโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานและควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด เนื่องจากผู้บริโภคในสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้า
สตีเฟน ดาคัส ซีอีโอคนใหม่ที่จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือนหน้า คาดการณ์ว่า บริษัทจะเผชิญกับสภาพแวดล้อมการค้าปลีกที่ท้าทายมากขึ้น โดยมองว่าภาษีที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยตรง มากกว่าที่จะกระทบซัพพลายเออร์ของบริษัท ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ทำให้บริษัทต้องกลับมาทบทวนห่วงโซ่อุปทานอย่างรอบคอบ และต้องควบคุมต้นทุนอย่างรัดกุม
รายงานระบุว่า ภาษีนำเข้าของทรัมป์จะทำให้ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงในเดือนเม.ย. ขณะที่การคาดการณ์เงินเฟ้อในช่วง 12 เดือนข้างหน้าพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2524
นอกจากลดต้นทุน บริษัทกำลังพยายามผลักดันเพื่อเพิ่มมูลค่าองค์กร ท่ามกลางแรงกดดันจากข้อเสนอซื้อกิจการมูลค่า 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์จากอาลีมองตาซิยง คูช-ตาร์ (Alimentation Couche-Tard) เครือร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่จากแคนาดา โดยกลยุทธ์ส่วนใหญ่เน้นไปที่การปรับปรุงธุรกิจในสหรัฐฯ ซึ่งมีร้านสะดวกซื้อกว่า 12,000 สาขาในภูมิภาคนี้
ทั้งนี้ รายได้จากอเมริกาเหนือคิดเป็น 73% ของยอดขายทั้งหมดของบริษัท
ขณะเดียวกัน เซเว่น แอนด์ ไอยังมีแผนนำบริษัทย่อยในอเมริกาเหนือเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2569 แต่แผนดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดในขณะนั้น และอาจมีการเลื่อนหากสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย
ดาคัสชี้แจงเหตุผลว่า การนำบริษัทย่อยเข้าตลาดหุ้นจะช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้น เพื่อสามารถลงทุนเชิงรุกในร้านสาขา โดยเฉพาะร้านที่มีบริการอาหารจานด่วน (Quick Service Restaurants) ซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ขายกิจการซูเปอร์มาร์เก็ตให้กับเบน แคปิตอล (Bain Capital) และเดินหน้าแผนซื้อหุ้นคืนวงเงินประมาณ 2 ล้านล้านเยนภายในปีงบประมาณ 2573 เพื่อเพิ่มมูลค่ากิจการเช่นกัน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 เม.ย. 68)
Tags: Seven & i, ต้นทุน, ภาษีทรัมป์, ภาษีนำเข้า, ร้านสะดวกซื้อ, สหรัฐ, เซเว่น อีเลฟเว่น, เซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิ้งส์