“ไชน่า เรลเวย์ฯ” แค่ยอดภูเขาน้ำแข็งปมใช้นอมินีบังหน้า เชื่อมีอีกเพียบ แนะรัฐตรวจสอบเข้ม

นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล ประธานกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวภายหลังเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับนอมินีบริษัทก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ถล่ม เชื่อว่ากรณี บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งกรณีที่พบว่าบริษัทรับเหมาก่อสร้างถือหุ้นโดยนอมินีคนไทย

“พบว่าฐานข้อมูลกลุ่มธุรกิจการค้า มีบริษัทลักษณะนี้จำนวนมาก หากย้อนไป 5 ปีก่อน พบว่ามีบริษัทตั้งใหม่ที่เป็นธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่มีทุนจีนถือหุ้นมีเพียง 40 ถึง 50 บริษัท/ปี แต่ปีที่แล้วพบว่ามีการจัดตั้งขึ้นใหม่กว่า 300 บริษัท ย้อนรวม 5 ปีมีการจัดตั้งบริษัทใหม่กว่า 500 – 600 บริษัท และอยู่ในกรณีเงื่อนไขเดียวกันคือคนไทยถือหุ้น 51% เป็นใครก็ไม่รู้ จะต้องไปตรวจสอบ และอีก 49% ถือโดยบริษัทต่างชาติของจีน ทั้งหมดนี้เป็นตัวชี้เป้าว่าบริษัทไชน่าฯ เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง รัฐบาลควรลงไปตรวจสอบอย่างจริงจังกับผู้รับเหมารายอื่น ว่ามีพฤติกรรมเดียวกันหรือไม่” นายสิทธิพล กล่าว

นายสิทธิพล กล่าวถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนบริษัทตั้งใหม่ที่ร่วมทุนกับจีนว่าที่ผ่านมากรมธุรกิจการค้าอาจไม่ได้สังเกตุเห็นถึงความผิดปกติ เพราะ ทำหน้าที่เพียงจดจัดแจงตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่วันนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น โดยเฉพาะปัญหานอมินีไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งเกิด แต่เป็นปัญหาที่ประชาชนร้องเรียนมาโดยตลอด หลายธุรกิจที่มีลักษณะเดียวกัน เช่น ภาคการเกษตร ภาคการศึกษา ที่มีการขายวุฒิให้วิศวกรเพื่อนำไปประกอบอาชีพ ใช้วีซ่านักเรียนวีซ่านักศึกษาเพื่อไปทำงานในธุรกิจนอมินีด้วย ดังนั้นรัฐบาลต้องจริงจังในการบังคับใช้กฎหมายแก้ไขปัญหานี้อย่างเข้มงวด โดยเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากการเพิกเฉยและละเลยมาอย่างยาวนาน

พร้อมหยิบยกว่าในกรณีตึก สตง. มีวิศวกรหลายคนแจ้งว่าถูกปลอมลายเซ็น จนนำไปสู่ข้อสงสัยว่าการควบคุมงานเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งในประเด็นนี้กรรมาธิการฯ ได้มีข้อเสนอแนะไปถึงรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ตรวจสอบต่อ เพราะไม่ต้องการให้ตึกสตง. เป็นเพียงตึกเดียวที่ถูกตรวจสอบ เนื่องจากมีอาคารจำนวนมากที่อาจมีผู้รับเหมาก่อสร้างที่เข้าข่ายนอมินีเข้ามาก่อสร้างในประเทศไทย

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 เม.ย. 68)

Tags: ,
Back to Top