
ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) คาดการณ์เมื่อวันพุธ (23 เม.ย.) ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้จะชะลอตัวลงต่ำกว่าค่ากลางของการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 4.7-5.5% อยู่เล็กน้อย เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ
เพอร์รี วาร์จิโย ผู้ว่าการธนาคารกลางอินโดนีเซีย เปิดเผยถึงการปรับลดการคาดการณ์ดังกล่าวในระหว่างการแถลงข่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน โดยระบุว่า นโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ อาจทำให้สินค้าส่งออกของอินโดนีเซียเป็นที่ต้องการจากต่างประเทศลดลง และทำให้การค้ากับประเทศคู่ค้าอ่อนแอลง
พร้อมกันนี้ ผู้ว่าการแบงก์ชาติอินโดนีเซียยังกล่าวเสริมด้วยว่า เพื่อเป็นการรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ ธนาคารกลางกำลังเสริมมาตรการนโยบายการเงินและมาตรการกำกับดูแลความเสี่ยงเชิงระบบ (macroprudential policy) ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ แบงก์ชาติอินโดนีเซียมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 5.75% ในการประชุมวานนี้ เพื่อปกป้องเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพของเงินรูเปียห์
แม้ว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะเปิดช่องให้สามารถปรับลดดอกเบี้ยได้ แต่ธนาคารกลางอินโดนีเซียยังคงตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับเดิมในการประชุมครั้งที่ 3 ติดต่อกัน เนื่องจากธนาคารมุ่งไปที่การสนับสนุนค่าเงินรูเปียห์ และต้องการรอดูว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯ จะพัฒนาไปในทิศทางใด
ทั้งนี้ เงินรูเปียห์ร่วงลงมาอยู่ที่ 16,868 รูเปียห์ต่อดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันที่ 8 เม.ย. ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยลดลงมากกว่าในช่วงวิกฤตการเงินเอเชียเมื่อปี 2540 และการระบาดของโควิด-19 แม้ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้เข้าแทรกแซงตลาดเพื่อรักษาเสถียรภาพของเงินรูเปียห์ แต่สกุลเงินยังคงอ่อนค่าลง เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลและแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจ ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ซึ่งอินโดนีเซียถูกเรียกเก็บในอัตรา 32%
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินโดนีเซียอยู่ที่ราว 5% ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ไม่รวมช่วงโควิดระบาด ขณะที่อัตราการเติบโตในปี 2567 อยู่ที่ 5.03% ซึ่งประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโต ให้คำมั่นว่าจะเพิ่มตัวเลขดังกล่าวเป็น 8% ก่อนที่วาระการดำรงตำแหน่งของเขาจะสิ้นสุดลงในปี 2572
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 เม.ย. 68)
Tags: ธนาคารกลางอินโดนีเซีย, อินโดนีเซีย, เศรษฐกิจอินโดนีเซีย