Merkle Capital ชี้นโยบายภาษี “ทรัมป์” เขย่าสินทรัพย์ทั่วโลก แนะทยอยสะสมรอจังหวะเด้งกลับ

ท่ามกลางบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความผันผวน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ต่อระบบการค้าระหว่างประเทศด้วยการประกาศนโยบาย “ขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ” โดยมีผลครอบคลุมกว่า 185 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจระหว่างประเทศ

นโยบายใหม่นี้กำหนดอัตราภาษีนำเข้า ขั้นต่ำที่ 10% สำหรับประเทศที่ต้องการส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ขณะที่ประเทศจีนซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลัก ถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 104% จนสร้างแรงกดดันอย่างรุนแรงต่อตลาดโลก ส่งผลให้สินทรัพย์ทั่วโลกตั้งแต่หุ้น สินทรัพย์ดิจิทัล ไปจนถึงทองคำต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า โดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ของสหรัฐอเมริกาที่แสดงให้เห็นถึงความผันผวนสูงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แม้นโยบายของทรัมป์ในปัจจุบันจะมีความคล้ายคลึงกับช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก แต่ในครั้งนั้นเน้นเป้าหมายหลักไปที่ประเทศจีนเป็นหลักเพื่อเจรจาปรับดุลการค้า แต่ในครั้งนี้กลับขยายผลไปทั่วโลกอย่างกว้างขวาง จนเกิดความกังวลว่าจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “สงครามการค้าระดับโลก” หากทั้งสองมหาอำนาจไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันได้

ทั้งนี้ เมอร์เคิล แคปปิตอล วิเคราะห์ถึงทางออกที่เป็นไปได้ของสถานการณ์นี้ไว้ 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 1. ประเทศจีนต้องยอมอ่อนข้อและเข้าร่วมเจรจา 2. ประเทศสหรัฐฯ ต้องยอมอ่อนข้อและเข้าร่วมเจรจา 3. ธนาคารกลางของประเทศเข้ามาแทรกแซง โดยประเมินว่าแนวทางสุดท้ายถือว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด

อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวก่อนการแทรกแซงอย่างเป็นทางการ อาจสะท้อนถึงภาวะที่ตลาดเข้าสู่จุดอ่อนแออย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจหรือการถดถอย (Recession) ได้ โดยในจังหวะนั้น Bitcoin อาจมีโอกาสฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ และถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนบางกลุ่มในการพิจารณาสะสมสินทรัพย์ดังกล่าวในระยะยาวหรือทยอยลงทุนแบบ DCA

ในภาวะที่ตลาดการเงินทั่วโลกยังคงมีความผันผวนสูง นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกถือครองเงินสดเป็นหลัก เพื่อรอดูทิศทางที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากมุมมองระยะยาว Bitcoin อาจเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีแผนลงทุนอยู่แล้ว โดยระดับราคาที่ต่ำกว่า 70,000 บาทต่อหน่วย ถือเป็นราคาเริ่มต้นนับตั้งแต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง และหากปรับฐานลงมาใกล้ระดับ 50,000 บาท ก็อาจเป็นระดับราคาที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากเคยเป็นช่วงเวลาที่สหรัฐอเมริกาประกาศเปิดตัว Spot Bitcoin ETF เป็นครั้งแรก

นอกจากนี้ หากอ้างอิงจากดัชนีวัดมูลค่าตลาดอย่าง MVRV (Market Value to Realized Value) ซึ่งถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการประเมินความคุ้มค่าของ Bitcoin ในเชิงสถิติ ระดับที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนในระยะยาวมักอยู่ที่ค่า MVRV ต่ำกว่า 1 โดยปัจจุบัน ค่า MVRV ที่ระดับ 1 เทียบเท่าราคาประมาณ 43,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อ Bitcoin ซึ่งหากราคาเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับดังกล่าว อาจเป็นจุดที่นักลงทุนบางส่วนพิจารณาเข้าซื้อเพื่อการลงทุนในระยะยาว

ในช่วงที่สินทรัพย์หลากหลายประเภททั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เช่น หุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่ลดลง 10–30% ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ นักลงทุนควรหันกลับมาทบทวนเป้าหมายการลงทุนของตนเอง ว่าผลตอบแทนที่ต้องการ เช่น 10–15% ต่อปีนั้น สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดหรือไม่ หากไม่มีสินทรัพย์ใดสามารถให้ผลตอบแทนตามเป้าได้ในช่วงเวลานั้น การรักษาเงินต้นก็อาจถือเป็น “การชนะตลาด” ในอีกแง่มุมหนึ่ง เช่น การลงทุนในพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทน 3% ต่อปี ยังนับว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าการถือครองหุ้นที่ขาดทุนถึง 30% ซึ่งหากสามารถบริหารจัดการเช่นนี้ได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ก็จะส่งผลให้พอร์ตการลงทุนเติบโตได้อย่างมั่นคง

สิ่งสำคัญก่อนการลงทุนคือการศึกษาและทำความเข้าใจสินทรัพย์อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความผันผวนสูง ผู้ลงทุนควรตระหนักถึงโอกาสและความเสี่ยงในทุกมิติ ทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมถึงติดตามทิศทางเศรษฐกิจมหภาคในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าอย่างใกล้ชิด

สุดท้ายนี้ สิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือ “การรู้จักตนเอง” วางเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน สอดคล้องกับความเป็นจริงของเศรษฐกิจโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเรียนรู้ที่จะยอมรับความเสี่ยงตามระดับความสามารถในการรับมือ เพื่อให้พอร์ตการลงทุนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 เม.ย. 68)

Tags: , , , ,
Back to Top