นักวิเคราะห์ฯคาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งไซด์เวย์ แต่อาจมีย่อตัวสลับ จากความกังวลสงครามการค้ากลับมาอีกครั้ง หลังเมื่อคืนนี้สหรัฐขึ้นภาษีจีนเป็น 145% แม้ชะลอเก็บภาษีประเทศอื่นออกไป 90 วัน ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลงเมื่อคืน และตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ก็ลงตาม อีกทั้งอาจมีแรงขายลดความเสี่ยงก่อนหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ด้วย ให้แนวต้าน 1,140 จุด แนวรับ 1,120 จุด

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดแกว่งไซด์เวย์ แต่อาจจะมีการย่อตัวลงสลับมาได้ หลังจากวานนี้ขึ้นไปแรง และยังมีปัจจัยกดดันจากการที่สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าจีนไปที่ระดับ 145% ทำให้ความกังวลสงครามการค้ารุนแรงกลับมาอีกครั้ง แม้ว่าสหรัฐจะเลื่อนการเก็บภาษีประเทศอื่นออกไป 90 วันก็ตาม โดย ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนนี้กลับมาร่วงลงอีกครั้งแม้ตัวแลขเงินเฟ้อ (CPI) เดือนมี.ค.ออกมาที่ 2.4% จากที่ตลาดคาดไว้ 2.5% แต่ปัจจัยสงครามการค้ายังคงกดดัน และตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ก็เปิดมาปรับตัวลงตามกัน
ส่วนตลาดหุ้นไทยก็อาจจะมีแรงกดดันเพิ่มเติมบ้างจากแรงขายลดความเสี่ยงก่อนเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์
พร้อมให้แนวต้าน 1,140 จุด แนวรับ 1,120 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
– ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (10 เม.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 39,593.66 จุด ลดลง 1,014.79 จุด หรือ -2.50%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,268.05 จุด ลดลง 188.85 จุด หรือ -3.46% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,387.31 จุด ลดลง 737.66 จุด หรือ -4.31%
– ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดที่ระดับ 33,951.25 จุด ลดลง 657.75 จุด หรือ -1.90%, ดัชนีฮั่งเส็งเปิดที่ระดับ 20,557.49 จุด ลดลง 124.29 จุด หรือ -0.60% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,219.51 จุด ลดลง 4.13 จุด หรือ -0.12%
– ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (10 เม.ย.) 1,133.95 จุด เพิ่มขึ้น +45.77 จุด (+4.21%) มูลค่าซื้อขาย 50,275.84 ล้านบาท
– นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ (10 เม.ย.) 953.69 ล้านบาท
– ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ค. (10 เม.ย.) ลดลง 2.28 ดอลลาร์ หรือ 3.66% ปิดที่ 60.07 ดอลลาร์/บาร์เรล
– ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (10 เม.ย.) 2.77 เหรียญ/บาร์เรล
– เงินบาทเปิด 33.79 แข็งค่า หลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐต่ำคาดฉุดดอลลาร์อ่อน-ทองพุ่งแรง
– ทำเนียบขาวแถลงว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีน สู่ระดับ 125% เมื่อวานนี้ แต่อัตราภาษีดังกล่าวยังไม่รวมกับที่ปธน.ทรัมป์เรียกเก็บภาษีในอัตรา 20% เพื่อลงโทษจีนที่ไม่ได้สกัดการไหลทะลักของยาเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ขณะนี้สหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้านำเข้าจากจีนในอัตรา 145%
– “ทรัมป์” ชะลอเก็บภาษีออกไป 90 วัน หลังกังวลตลาดพันธบัตรพังเหตุญี่ปุ่นเทขายหนัก สัญญาณเตือน “สินทรัพย์ปลอดภัย” สหรัฐหวั่นผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์ “ภาษีทรัมป์” กดดันเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง “ไทย” เดินหน้าสร้างสมดุลการค้าใหม่กับสหรัฐ ตั้งเป้าลดการเกินดุลลงเกือบ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ใน 5 ปี เพิ่มนำเข้าสินค้าเกษตร พลังงาน ดันเอกชนไทยลงทุนเพิ่ม
– “ไอเอ็มเอฟ” แนะไทยแก้หนี้ครัวเรือนด้วยแนวทางบูรณาการ เรียนรู้จากบราซิล-มาเลเซียเกาหลีใต้ แม้ตัวเลขหนี้ลดจากช่วงโควิดแต่ยังสูงถึง 89% ของ GDP ชี้ปัญหาหลักมาจากแรงงานนอกระบบกว่าครึ่ง “ซีไอเอ็มบีไทย” หั่นจีดีพีเหลือ 1.8% เดิม 2.7% มองเลวร้ายสุดเศรษฐกิจไทยอาจ โตเพียง 0.5% ปีนี้ จากผลกระทบทรัมป์ที่รุนแรงกว่าคาด จับตากับดักสภาพคล่อง
– “พิชัย” ปรับแผนเจรจาหลัง “ทรัมป์” เลื่อนใช้มาตรการภาษีโต้ตอบ โดยกลไกการเจรจาฝ่ายไทยแบ่งเป็น 5 ระดับสูงสุด คือ นายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ วางกรอบเจรจา 5 ประเด็น ไทยเสนอลดยอดเกินดุลสหรัฐฯ ลงครึ่งหนึ่งภายใน 5 ปี จากปัจจุบันไทยเกินดุลสหรัฐฯ 300% คิดเป็นมูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท
– ตลท.เปิด 16 หุ้นเด่น ใน SETHD Index มี Dividend Yield เฉลี่ย 3 ปี สูงกว่า 5% ต่อปี แนะลงทุนในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำอยู่ในระดับต่ำ การเลือกลงทุนในหุ้นปันผลที่ขณะนี้ที่ราคาหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักลงทุน
– โบรกฯ ต่างชื่นชมตลาดหลักทรัพย์ฯ นำมาตรการ Ceiling/Floor บวกลบ 15% และห้ามขายชอร์ตช่วง 8-11 เม.ย. 68 มาใช้ได้เหมาะและทันกับสถานการณ์ ช่วยจำกัดดาวน์ไซด์หรือขาลงของตลาดได้ แต่หากจะให้ดียิ่งขึ้นควรขยายช่วงเวลาของมาตรการออกไปอีก หรือจนถึง 30 เม.ย.นี้ เหตุตลาดหุ้นไทยและโลกยังเผชิญกับความผันผวนสูงมาก ด้าน “พิชัย” และกองทุนมองต่าง เผยควรใช้ในช่วงเวลาสั้นๆ หวั่นถูกมองเรื่อง “มาตรฐาน” และต่างชาติอาจหนี
หุ้นเด่นวันนี้
– KCG (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11 บาท คาดกำไรปกติไตรมาส 1/68 ที่ 108 ลบ. -34% q-q แต่เพิ่มขึ้น 16% y-y โดยคาดรายได้เติบโตได้ +12% y-y จากความต้องการเนยชีสเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อน และการออกสินค้าใหม่ แม้ราคาวัตถุดิบยังทรงตัวสูง แต่อัตรากำไรขั้นต้นดี 30.8% ทรงตัว q-q แนวโน้มกำไรไตรมาส 2/68 คาดยังโตได้ y-y ต่อเนื่อง คงประมาณการกำไรปกติปีนี้ที่ 447 ลบ. +10% y-y ราคาหุ้นปัจจุบันเทรด PE เพียง 10 เท่าและให้ปันผลสูงถึงเกือบ 6% ต่อปี
– PR9 (กสิกรไทย) ราคาพื้นฐาน 26.80 บาท มีมุมมองเขิงบวกต่อประมาณการกำไรไตรมาส 1/68 ผู้บริหารมั่นใจโตต่อเนื่อง YoY จากรายได้โตสองหลัก โดยหลักมาจากคนไข้ต่างชาติเติบโตขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ส่งผลให้สัดส่วนรายได้สูงกว่าไตรมาส 4/67 นำโดยคนไข้กาตาร์ และ PR9 กำลังเปิดตลาดใหม่ในบังกลาเทศ และรายได้คนไทยที่เป็นความกังวลยังโตได้ YoY นอกจากนี้คาดว่า GPM ดีขึ้นมากกว่าไตรมาส 1/67 แม้จะมีการแข่งขันด้านราคาบ้าง คาดไตรมาส 1/68 กำไร 190 ล้านบาท โต 20%YoY
– SCGP (ทรีนีตี้) ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายเป็น 14.50 บาท อิง PER ที่ 18.5x หรือเทียบเท่า 0.8x PBV ปีนี้ยังท้าทายจาก oversupply และผลกระทบ Trade War แต่ราคาหุ้นเทรดที่ -2SD PER เชื่อว่าสะท้อนผลกระทบไปมากแล้ว คาดกำไรไตรมาส 1/68 ที่ 793 ล้านบาท -54% YoY แต่พลิกจากขาดทุนในไตรมาส 4/67 ที่ 57 ล้านบาท โดยลดลง YoY จาก supply ยังมากกดดันราคาขาย ขณะที่ปรับขึ้น QoQ จากต้นทุนลดลง คงประมาณการกำไรปี 68 ที่ 3.3 พันล้านบาท คาดกำไรไตรมาส 1/68 คิดเป็น 24% ของประมาณการของเรา
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 เม.ย. 68)
Tags: หุ้นไทย, เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม