
นักลงทุนสถาบันต่างชาติ (FPI) เพิ่มการเข้าซื้อหุ้นกลุ่มการเงินของอินเดียอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งหลังของเดือนมี.ค. โดยเข้าลงทุนเป็นมูลค่า 1.7585 แสนล้านรูปี (2.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) นับเป็นเม็ดเงินไหลเข้ารายปักษ์ในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ที่สูงที่สุดในรอบ 15 เดือน จากข้อมูลของ National Securities Depository (NSDL) ที่เปิดเผยวันนี้ (4 เม.ย.)
เม็ดเงิน FPI ที่ไหลเข้าซื้อหุ้นกลุ่มการเงินนี้ คิดเป็นสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของเงินลงทุนสุทธิทั้งหมด 3.05 พันล้านดอลลาร์ ที่ไหลเข้าในช่วงเวลาดังกล่าว
แรงซื้อที่แข็งแกร่งนี้ช่วยหนุนให้ดัชนีหุ้นกลุ่มการเงิน Nifty Financial Services ปรับตัวขึ้น 9% ในเดือนมี.ค. ทำสถิติผลงานรายเดือนที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2565 ขณะที่ดัชนีหลักอย่าง Nifty 50 ก็สามารถยุติช่วงขาลงที่ยาวนานที่สุดในรอบ 29 ปีได้เช่นกันในเดือนดังกล่าว
นักวิเคราะห์ให้เหตุผลว่า แรงซื้อในหุ้นกลุ่มการเงินนี้มาจากมูลค่าหุ้นที่น่าดึงดูด ประกอบกับกระแสคาดการณ์ว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการอัดฉีดสภาพคล่องโดยธนาคารกลางอินเดีย (RBI) นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ที่เพิ่มเพดานการลงทุนสำหรับ FPI เป็นเท่าตัว ก็เป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้เม็ดเงินไหลเข้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปลายเดือนมี.ค.
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีเม็ดเงินไหลเข้าอย่างแข็งแกร่งในเดือนมี.ค. แต่ FPI ยังคงเป็นผู้ขายสุทธิในตลาดหุ้นอินเดียตลอดทั้งปีงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. โดยมียอดเงินไหลออกสุทธิทั้งปีสูงถึง 1.46 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงเป็นอันดับสองเป็นประวัติการณ์ โดยมีแรงขายหลักมาจากช่วงเดือนต.ค.ถึงมี.ค. คิดเป็นมูลค่า 2.9 หมื่นล้านดอลลาร์
สาเหตุของการขายสุทธิทั้งปีงบการเงิน ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของกำไรที่ชะลอตัว และมูลค่าหุ้นที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ
ณ สิ้นปีงบการเงิน 2568 ดัชนี Nifty 50 ปรับตัวลดลงราว 10.5% จากจุดสูงสุดเมื่อเดือนก.ย. 2567 และซื้อขายกันที่ Forward P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง (ที่ 20.6) อยู่ประมาณ 3%
แม้ว่าแรงซื้อในช่วงปลายเดือนมี.ค.จะช่วยผ่อนคลายสถานการณ์ได้บ้าง แต่นักวิเคราะห์เตือนว่าความเสี่ยงยังคงมีอยู่ เช่น ปัญหาการค้าโลก และนโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้ FPI ลดการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ได้
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 เม.ย. 68)
Tags: นักลงทุน, อินเดีย, เข้าซื้อหุ้น