In Focus: ย้อนไทม์ไลน์มาตรการรีดภาษี “ทรัมป์” เปลี่ยนสนามการค้าเป็นสงครามเศรษฐกิจ

โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว และลั่นกลองรบเปิดฉากสงครามการค้าด้วยการให้คำมั่นว่าจะประกาศขึ้นภาษีศุลกากรทันทีหลังทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สองในเดือนมกราคม ซึ่งทรัมป์ก็ได้ทำอย่างที่ลั่นวาจาไว้ โดยลำดับการประกาศมาตรการภาษีศุลกากรของทรัมป์ภายในระยะเวลาเพียงสองเดือนหลังจากที่ได้กุมบังเหียนประเทศ มีดังนี้

20 มกราคม

ทรัมป์ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็ประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% มีผลวันที่ 1 กุมภาพันธ์ โดยให้เหตุผลว่าต้องการใช้มาตรการภาษีศุลกากรเป็นตัวกระตุ้นให้เม็กซิโกและแคนาดาแก้ปัญหายาเสพติดเฟนทานิลและผู้อพยพไหลบ่าเข้าสู่สหรัฐฯ

26 มกราคม

ทรัมป์ขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากโคลอมเบียในอัตรา 25% และจะเพิ่มเป็น 50% ภายในหนึ่งสัปดาห์ รวมถึงใช้มาตรการคว่ำบาตรชุดใหญ่ หลังจากประธานาธิบดีกุสตาโว เปโตร ของโคลอมเบีย ปฏิเสธรับเครื่องบินทหารสหรัฐฯ สองลำที่บรรทุกผู้อพยพชาวโคลอมเบียส่งกลับประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายกวาดล้างผู้อพยพของทรัมป์ จากนั้นเปโตรขู่ใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ แต่สุดท้ายก็ยอมถอยและรับพลเมืองที่ถูกสหรัฐฯ เนรเทศกลับประเทศ สุดท้ายทั้งสองฝ่ายได้ส่งสัญญาณยุติความขัดแย้งระหว่างกัน

1 กุมภาพันธ์

ทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% และเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% โดยมีผลบังคับใช้ 4 กุมภาพันธ์ ซึ่งทั้งสามประเทศต่างประกาศว่าจะใช้มาตรการตอบโต้ ขณะที่นักวิเคราะห์เตือนว่ามาตรการของทรัมป์จะทำให้สินค้าในสหรัฐฯ แพงขึ้น แต่ทรัมป์แก้ต่างว่ามาตรการนี้จำเป็นเพื่อควบคุมคนเข้าเมือง สกัดการค้ายาเสพติด และหนุนอุตสาหกรรมในประเทศ

3 กุมภาพันธ์

ทรัมป์ประกาศชะลอแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไป 30 วัน หลังจากประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ผู้นำเม็กซิโก ยินยอมที่จะส่งทหารไปประจำการตามแนวชายแดนตอนเหนือเพื่อป้องกันการลักลอบนำยาเสพติดจากเม็กซิโกเข้าสู่สหรัฐฯ โดยเฉพาะยาเฟนทานิล ขณะที่นายกรัฐมตรีจัสติน ทรูโด ผู้นำแคนาดาในขณะนั้น ให้คำมั่นว่าจะจัดการไม่ให้มีการลักลอบนำยาเฟนทานิลข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐฯ แต่ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ก็เปิดแนวรบใหม่ด้วยการขู่ว่าจะรีดภาษีจากสหภาพยุโรป (EU)

4 กุมภาพันธ์

มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 10% มีผลบังคับใช้ จีนตอบโต้ทันทีด้วยการประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ ในอัตรา 15% และเรียกเก็บภาษีนำเข้าน้ำมันดิบ เครื่องจักรกลการเกษตร และรถยนต์บางประเภท ในอัตรา 10% มีผล 10 กุมภาพันธ์

10 กุมภาพันธ์

ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมสู่ระดับ 25% พร้อมทั้งยกเลิกข้อยกเว้นรายประเทศ ข้อตกลงตามโควตา และการยกเว้นภาษีเฉพาะผลิตภัณฑ์นับแสนรายการสำหรับโลหะทั้งสองชนิด มีผลบังคับใช้ 12 มีนาคม โดยให้เหตุผลว่ามีเป้าหมายที่จะช่วยเหลืออุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ ที่กำลังประสบปัญหา

13 กุมภาพันธ์

ทรัมป์ประกาศแผนการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ทันที โดยมอบหมายให้ทีมงานศึกษาประเด็นต่าง ๆ เพื่อกำหนดระดับภาษีศุลกากรที่เหมาะสมสำหรับแต่ละประเทศ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 1 เมษายน เพื่อให้ทรัมป์สามารถบังคับใช้มาตรการดังกล่าวได้ในวันที่ 2 เมษายน

25 กุมภาพันธ์

ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาความเป็นไปได้ในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าทองแดงเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมของประเทศ ขณะที่ปีเตอร์ นาวาร์โร ที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ ระบุว่า มาตรการดังกล่าวมุ่งเป้าไปที่จีน ซึ่งใช้กำลังการผลิตล้นเกินและการทุ่มตลาดเป็นอาวุธทางเศรษฐกิจเพื่อครอบงำตลาดโลก ถือเป็นการตัดราคาคู่แข่งอย่างเป็นระบบ และบีบให้คู่แข่งต้องเลิกทำธุรกิจในที่สุด

1 มีนาคม

ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาความเป็นไปได้ในการเรียกเก็บภาษีนำเข้าไม้ โดยสั่งการให้ตรวจสอบว่าประเทศผู้ส่งออกไม้อย่างแคนาดา เยอรมนี และบราซิล กำลังทุ่มตลาดไม้เข้าสู่สหรัฐฯ จนส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบกรณีที่จีนอาจกดราคาสินค้าประเภทตู้ครัวให้ต่ำผิดปกติ

4 มีนาคม

มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาในอัตรา 25% เริ่มมีผลบังคับใช้ แต่จำกัดอัตราภาษีนำเข้าพลังงานจากแคนาดาไว้ที่ 10% นอกจากนี้ ทรัมป์ยังขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสองเท่าจากอัตราเดิม 10% เพิ่มเป็น 20% ซึ่งจีนตอบโต้ด้วยการประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ในอัตราสูงสุด 15% มีผล 10 มีนาคม พร้อมทั้งควบคุมการส่งออกสินค้าไปยังบริษัทสหรัฐฯ หลายสิบแห่ง ขณะที่แคนาดาประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 25%

5 มีนาคม

ทรัมป์ตัดสินใจเลื่อนการเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์จากเม็กซิโกและแคนาดาออกไป 1 เดือน หลังจากที่ได้พูดคุยกับตัวแทนจากสามค่ายรถยักษ์ใหญ่ ได้แก่ ฟอร์ด มอเตอร์, เจนเนอรัล มอเตอร์ส และสเตลแลนทิส โดยกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ร้องเรียนว่าไม่สามารถย้ายฐานการผลิตรถยนต์ไปยังสหรัฐฯ ได้ง่ายอย่างที่ทรัมป์ต้องการ และภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ต้นทุนของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งการเลื่อนการเรียกเก็บภาษีออกไป 1 เดือนนั้น ครอบคลุมรถยนต์ทุกแบรนด์ที่นำเข้าสู่สหรัฐฯ ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐอเมริกา-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA)

6 มีนาคม

ทรัมป์ประกาศเลื่อนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภทจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปเป็นวันที่ 2 เมษายน โดยมีผลกับสินค้าที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรี USMCA แต่ยังคงยืนยันว่าจะบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 25% ในวันที่ 12 มีนาคม และจะบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้กับทุกประเทศที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในวันที่ 2 เมษายน

10 มีนาคม

มาตรการตอบโต้ของจีนด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ในอัตราสูงสุด 15% มีผลบังคับใช้ ครอบคลุมถึงเนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ข้าวโพด ผลไม้ และถั่วเหลือง ขณะที่รัฐออนแทรีโอของแคนาดาประกาศขึ้นค่าไฟ 25% ในส่วนของไฟฟ้าที่ขายให้กับรัฐมิชิแกน รัฐมินนิโซตา และรัฐนิวยอร์กของสหรัฐฯ

11 มีนาคม

ทรัมป์ตอบโต้แคนาดาด้วยการประกาศรีดภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาในอัตรา 50% จากเดิมกำหนดไว้ที่ 25% และขู่ว่าจะขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์จากแคนาดา ขณะที่ดัก ฟอร์ด ผู้ว่าการรัฐออนแทรีโอของแคนาดา ขู่ว่าจะระงับการส่งออกกระแสไฟฟ้าให้แก่สหรัฐฯ หากทรัมป์ยังทำสงครามการค้าไม่เลิก อย่างไรก็ดี หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง ทั้งสองฝ่ายต่างยอมถอยและระงับการดำเนินการตามคำขู่

12 มีนาคม

มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 25% มีผลบังคับใช้ ซึ่ง EU ออกมาตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมจากสหรัฐฯ ครอบคลุมสินค้ามูลค่าสูงถึง 2.6 หมื่นล้านยูโร (2.84 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ด้านแคนาดาประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 25% ครอบคลุมสินค้ามูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์แคนาดา (2.08 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมุ่งเป้าไปที่เหล็ก อะลูมิเนียม และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ เช่น คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์กีฬา ขณะที่เม็กซิโกจะตัดสินใจภายในวันที่ 2 เมษายนว่าจะใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้หรือไม่

13 มีนาคม

ทรัมป์ขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้าไวน์ แชมเปญ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จาก EU ในอัตราสูงถึง 200% หาก EU ยังคงเดินหน้าตามแผนเรียกเก็บภาษีนำเข้าวิสกี้จากสหรัฐฯ ในอัตรา 50% ในวันที่ 1 เมษายน

16 มีนาคม

ทรัมป์ยืนยันว่ามาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ และมาตรการภาษีเฉพาะภาคส่วน จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน พร้อมกับประกาศว่า “วันที่ 2 เมษายน เป็นวันแห่งการปลดปล่อยอเมริกา”

18 มีนาคม

หนังสือพิมพ์โกลบอลไทมส์ของรัฐบาลจีนเตือนว่า การตั้งกำแพงภาษีของสหรัฐฯ จะย้อนกลับมาทำร้ายเศรษฐกิจสหรัฐฯ เอง เนื่องจากประเทศคู่ค้าเตรียมตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในอัตราสูง ขณะที่จีนส่งสัญญาณพร้อมออกมาตรการตอบโต้เพิ่มเติมอีก

21 มีนาคม

ทรัมป์ส่งสัญญาณว่าจะมี “ความยืดหยุ่น” ในการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ในวันที่ 2 เมษายน และเขามีแผนว่าจะพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในประเด็นที่จีนเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน

24 มีนาคม

ทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 25% สำหรับสินค้าที่นำเข้ามาจากประเทศที่ซื้อน้ำมันและก๊าซจากเวเนซุเอลา โดยอ้างเหตุผลว่าเวเนซุเอลาตั้งใจส่งตัวเหล่าอาชญากรเข้าสู่สหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงสมาชิกแก๊ง Tren de Aragua ที่รัฐบาลทรัมป์ขึ้นบัญชีว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายต่างชาติ แต่ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ส่งสัญญาณว่าอาจยกเว้นภาษีศุลกากรให้กับหลายประเทศ โดยระบุว่า “เป็นการต่างตอบแทน”

การที่ทรัมป์ประกาศมาตรการภาษีแบบรัว ๆ แต่ยึกยัก โดยประกาศไปแล้วแต่ระงับบ้างหรือเลื่อนเวลาออกไปบ้าง ได้ก่อให้เกิดความสับสนและความไม่แน่นนอนไปทั่วโลก ตอนนี้นานาประเทศจึงจับตามาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน ซึ่งจะมีความชัดเจนมากขึ้นว่าทรัมป์จะรีดภาษีสินค้าอะไรบ้าง และประเทศใดจะได้รับผลกระทบบ้าง อีกเพียงหนึ่งสัปดาห์ก็จะได้รู้กัน

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (26 มี.ค. 68)

Tags: , , ,
Back to Top