
นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ [TFM] เปิดเผยว่าบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้แตะ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2573 หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปี CAGR 11% ผ่านการเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Segment) โดยเฉพาะอาหารกุ้งและอาหารปลา ที่เป็นผู้นำตลาดอยู่แล้ว รวมถึงขยายสู่อาหารปลาน้ำจืดอื่น ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของเกษตรกรและผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ
รวมทั้งมีแผนขยายตลาดในอินโดนีเซียเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น และขยายตลาดไปยังประเทศใหม่ ๆ ผ่านความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งในพื้นที่ทั่วโลก เพื่อบริหารความเสี่ยงของพอร์ตลูกค้า โดยตั้งเป้าปี 73 สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปัจจุบันอยู่ราว 2-3% ขณะที่รายได้จากอินโดนีเซีย 17% จากปัจจุบัน 12%
ขณะที่กลยุทธ์ในปี 68 เดินหน้าขยายตลาดสู่ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำระดับเอเชีย ดันยอดขายปีนี้เติบโต 8-10% จากปี 67 5,365 ล้านบาท อีกทั้งตั้งเป้ารักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 18-20% พร้อมตั้งงบลงทุน 300 ล้านบาท ปรับเปลี่ยนเครื่องจักร นำเทคโนโลยีมาช่วยในการบริหารจัดการการผลิตทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและได้ต้นทุนที่ถูกลง โดยปีนี้จะลงทุนเครื่องจักรในโรงงานมหาชัยและโรงงานที่ระโนด จ.สงขลา ดันกำลังการผลิตปีนี้แตะ 2.7 หมื่นตัน จากปี 67 ที่ 2 หมื่นตัน
พร้อมวางแผนทุ่มงบลงทุนราว 300-500 ล้านบาทต่อปี เพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร ลงทุนเพิ่มเครื่องจักรใหม่ ดันกำลังการผลิตรวมแตะ 5.4 หมื่นตันในปี 73 หนุนรายได้ 10,000 ล้านบาทตามเป้า
บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าขยายตลาดสู่ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำระดับเอเชีย ผ่าน 4 กลยุทธ์สำคัญ ประกอบด้วย
1.) Consistent Feed Quallty รักษาคุณภาพอาหารสัตว์ที่สม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกค้าของบริษัทฯ ได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีที่สุดและสามารถแข่งบันในตลาดได้
2.) Farmer Engagement สร้างการมีส่วนร่วมกับเกษตรกร โดยมุ่งเน้นเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกรเพื่อให้สามารถพัฒนาระบบการผลิตร่วมกันและให้เกษตรกรสามารถเติบโตไปพร้อมกัน
3.) Strategic Partnership ขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งช่วยเพิ่มฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ได้
4.) Sustainability มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยไม่เพียงแต่สนับสนุนเกษตรกรในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังคำนึงถึงการรักษา สิ่งแวดล้อมและการสร้างผลกระทบทางบวกต่อสังคม
นายพีระศักดิ์ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมกุ้งไทยถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศ แม้ปัจจุบันเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน แต่ยังคงมีโอกาสสำหรับเกษตรกรไทย เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ในระยะยาว จึงจำเป็นต้องเสริมสร้างความร่วมมือในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ตั้งแต่เกษตรกร ห้องเย็น ภาคเอกชน ไปจนถึงภาครัฐการมีข้อมูลที่ชัดเจนจะช่วยให้การผลิตสอดคล้องกับความต้องการของตลาด โดยต้องเปลี่ยนแนวคิดจากการมองแค่ระยะสั้นมาเป็นการมองในภาพรวมทั้งระบบ เพื่อวางแผนในระยะยาวและสร้างเสถียรภาพของอุตสาหกรรม ด้วยเป้าหมายเพิ่มผลผลิตกุ้งไปสู่ระดับ 400,000 ตันต่อปี ตามนโยบายของรัฐบาลที่มอบผ่านกรมประมง และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตลอดจนยกระดับมาตรฐานฟาร์มให้เป็นไปตามมาตรฐานอาหารสัตว์ระดับโลกจากองค์กร Aquaculture Stewardship Council หรือ ASC พร้อมทั้งเน้นเรื่องความยั่งยืน เพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขันและรองรับความต้องการในตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม จุดมุ่งหมายสำคัญของ TFM นอกจากจะมุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักที่เติบโตดีในประเทศแล้ว แต่ยังมุ่งเน้นการขยายธุรกิจสู่น่านน้ำใหม่ในตลาดที่มีศักยภาพ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตแบบยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง บริษัท อะแวนติฟิดส์ จำกัด (Avanti Feeds) ในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นผู้นำตลาดอาหารกุ้ง ครองส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ รวมไปถึงบริษัท พีที ไทยยูเนี่ยนคาริสม่า เลสทารี จำกัด หรือ TUKL ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ในอินโดนีเซีย ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และตั้งเป้าติด อันดับ Top 5 ภายในปี 2569
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ พร้อมขยายการส่งออกไปเวียดนามผ่านเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ทั้งในและนอกกลุ่ม ด้วยจุดแข็งของ TFM คือ การให้บริการลูกค้าทั้งก่อนและหลังการขายด้วยมาตรฐานระดับสากล จึงมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมั่นใจ
ในปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 5,365 ล้านบาทเติบโต 5.6% อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18.7% และกำไรสุทธิโตขึ้นจากปีก่อน 5 เท่าตัวคิดเป็นกำไรที่ 535 ล้านบาท สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 8-10% และรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 18-20% จากการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ โดยเตรียมพร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพสูงและเตรียมขยายกำลังการผลิตในประเทศ อินโดนีเซีย
นอกจากนี้ ยังมองหาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรในต่างประเทศเพื่อรุกตลาดใหม่ ๆ และขยายตลาดเดิม พร้อมสร้างฐานลูกค้าและโอกาสทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นในตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ
ทั้งนี้ สำหรับตลาดในประเทศ TFM จะรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มอาหารกุ้ง อาหารปลากะพง และอาหารกบ โดยจะมุ่งขยายตลาดในพื้นที่ที่ยังมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ด้วยการรักษาคุณภาพสินค้าให้เป็นที่ยอมรับ พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้า และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับเกษตรกร ผ่านบริการและองค์ความรู้เชิงวิชาการ
ขณะเดียวกันได้เตรียมขยายสู่ตลาดอาหารปลาน้ำจืดที่มีมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก และตั้งเป้าก้าวเป็นผู้นำตลาดอาหารปลาน้ำจืดในอนาคต นอกจากนี้ ได้มุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอาหารสัตว์น้ำในประเทศไทย ล่าสุดได้เปิดตัว 3 แบรนด์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ “ขุนศึก” อาหารปลานิลที่โดดเด่นในเรื่องช่วยให้ปลาโตเร็วและมีรูปร่างตรงตามความต้องการของตลาด, “กบทอง” อาหารสำหรับกบขนาดใหญ่ ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกร ที่เลี้ยงกบเชิงพาณิชย์ และ “โปรฟีดปลากดคัง” อาหารปลากดคัง ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะในภาคตะวันออกของประเทศไทย
ขณะที่ตลาดต่างประเทศ นับเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญของ TFM ในอนาคตและช่วยกระจายความเสี่ยงพอร์ตรายได้ จากจุดเริ่มต้นด้วยการส่งออกสินค้าประเทศศรีลังกา และต่อยอดสู่ประเทศที่มีอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเติบโตได้แก่ อินเดีย และอินโดนีเซีย โดยบริษัทฯ ได้ใช้จุดแข็งจากมาตรฐานการผลิตระดับสูงของไทยแข่งขันในเวทีโลกและการมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งในแต่ละประเทศช่วยเสริมสร้างศักยภาพขยายตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับความต้องการในแต่ละประเทศได้อย่างตรงจุด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 มี.ค. 68)