ส่องความเห็น 2 อดีต รมว.คลัง นายกฯ ออกตั๋ว PN เป็น “นิติกรรมอำพราง” หวังเลี่ยงภาษีหรือไม่?

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ฝากแนวคิดประกอบการตัดสินใจของกรมสรรพากร ภายใต้ “ทางสองแพร่ง” ของการ “หนีภาษีหรือไม่” หลังจากฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี ด้วยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) ในการกู้ยืมเงินจากบุคคลในครอบครัว

การจะพิจารณาว่า นายกรัฐมนตรี มีการหนีภาษีหรือไม่นั้น ต้องนำหลักฐานภาพแวดล้อมมาประกอบ ไม่ใช่แค่ยึดเพียงรูปแบบของสัญญาเท่านั้น เพราะอาจทำให้มีการลวงตาได้

กรณีนี้ รูปแบบของสัญญา documentary evidence คือ สำแดงว่า มีการโอนซื้อขายหุ้น ไม่มีการชำระเงิน แต่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินที่ไม่มีกำหนดชำระ และไม่มีดอกเบี้ย ดังนั้น จึงขอให้แนวคิดสำหรับกรมสรรพากร ดังนี้

– กรณีจะพิจารณาหลักฐานสภาพแวดล้อมประกอบ ต้องเริ่มต้นตรวจสอบว่า

1. ความสมเหตุสมผล ที่ผู้ขายหุ้นได้มาซึ่งหุ้น

ผู้ที่ขายหุ้นที่ไม่ใช่พ่อแม่ แต่เป็นพี่สาว 2,388 ล้านบาท, พี่ชาย 335 ล้านบาท, ลุง 1,315 ล้านบาท, ป้าสะไภ้ 258 ล้านบาท บุคคลเหล่านี้ ได้หุ้นมาในโอกาสอันใด บุคคลเหล่านี้จ่ายเงินซื้อไปอย่างไร เพราะเป็นเงินที่อาจจะเกินกว่ารายได้คนทั่วไป กรณีที่การได้หุ้นมาของบุคคลเหล่านี้ อาจจะถือเป็นเงินได้ตามประมวลรัษฎากรก็ได้ ถามว่าบุคคลเหล่านี้ ได้เสียภาษีเงินได้ครบถ้วนหรือไม่? หุ้นเหล่านี้ เป็นทรัพย์ของนักการเมืองรายใด เอามาซุกไว้หรือไม่?

2. เหตุผลที่ไม่ทวงถามให้ชำระหนี้ตามตั๋ว

ถึงแม้ตั๋วสัญญาใช้เงินไม่มีกำหนดชำระ แต่สามารถเรียกให้ขำระหนี้ได้เมื่อทวงถาม จึงต้องถามว่า ผู้ซื้อหุ้นมีความขัดสนเงินทองประการใด จึงไม่สามารถชำระหนี้ได้ทันที แต่ต้องค้างหนี้ไว้โดยการออกตัวสัญญาใช้เงิน หุ้นที่ซื้อจากพี่สาว 2,388 ล้านบาท, พี่ชาย 335 ล้านบาท ในปี 2559 นั้น ถามว่าในปี 2559 ผู้ซื้อขัดสนเงินทองประการใด จึงไม่สามารถชำระค่าหุ้นได้ในปีนั้น

ตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 9 ปี ฐานะของผู้ซื้อหุ้น ไม่ได้ดีขึ้นพอที่จะสามารถชำระค่าหุ้นได้หรือ ในห้วงเวลา 9 ปี ผู้ซื้อหุ้นได้มีฐานะร่ำรวยจนมีการซื้อทรัพย์สินอื่นอีกมากมายหรือไม่ ถ้ามี เหตุใดจึงยังไม่สามารถชำระค่าหุ้นได้

หุ้นที่ซื้อจากลุง 1,315 ล้านบาท, ป้าสะไภ้ 258 ล้านบาท ในปี 2566 นั้น ถามว่าในปี 2566 ผู้ซื้อหุ้นมีฐานะขัดสนเงินทองอย่างไร จึงไม่สามารถชำระค่าหุ้นได้?

3. หนี้ 4.4 พันล้านบาท เรียกดอกเบี้ยได้

ถึงแม้ตั๋วสัญญาใช้เงินกำหนดว่าฟรีดอกเบี้ย แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บัญญัติให้เรียกได้ 3% ต่อปี จึงต้องถามว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินที่เป็นหนี้ต่อพี่สาว 2,388 ล้านบาท, พี่ชาย 335 ล้านบาท ตั้งแต่ในปี 2559 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้เรียกดอกเบี้ยได้ 3% ต่อปี คิดเป็นเงิน 71.64 ล้าบาท และ 10.05 ล้านบาท ตลอดห้วงเวลา 9 ปี พี่สาวและพี่ชายได้เรียกใช้สิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ ผู้ซื้อหุ้นมีการขัดสนเงินทองอย่างไร จึงไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ย 71.64 ล้านบาท และ 10.05 ล้านบาทต่อปีได้

ผู้ซื้อหุ้นมีเงินไปใช้จ่ายส่วนตัวปีละหลายสิบล้าน ตั้งแต่เมื่อไร และเงินไปลงทุนซื้อทรัพย์สินต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดจึงไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ย 71.64 ล้าบาท และ 10.05 ล้านบาทต่อปีได้

เนื่องจากประมวลรัษฎากรถือว่า กรณีมีประโยชน์ที่ควรได้ ก็ต้องสำแดงเป็นรายได้เพื่อเสียภาษี จึงต้องถามว่าผู้เป็นเจ้าหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งมีสิทธิ์เรียกดอกเบี้ย 71.64 ล้านบาท และ 10.05 ล้านบาทต่อปี จึงต้องถือเป็นรายได้ของเจ้าหนี้หรือไม่ หรือผู้เป็นลูกหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน มีภาระต้องเสียดอกเบี้ย 71.64 ล้านบาท และ 10.05 ล้านบาทต่อปี แต่ได้รับความอะลุ้มอล่วย ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยจึงต้องถือเป็นรายได้ของลูกหนี้หรือไม่?

และทำนองเดียวกัน สำหรับตั๋วสัญญาใช้เงินที่เป็นหนี้แก่ลุง 1,315 ล้านบาท ป้าสะใภ้ 258 ล้านบาท ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ให้เรียกดอกเบี้ยได้ 3% ต่อปี เป็นเงิน 39.45 ล้านบาท และ 7.74 ล้านบาท กรมสรรพากรจะต้องพิจารณาว่า ถือเป็นรายได้ของเจ้าหนี้ หรือของลูกหนี้?

“นี่เอง ที่มหากาพย์เรื่องทำนองนี้ มักจะเป็นทางสองแพร่ง ถ้าตีความไม่ถือว่าเป็นการซื้อขายจริง ก็จะเข้าข่ายเป็นนิติกรรมอำพราง จะเป็นการหนีภาษี แต่ถ้าตีความถือว่าเป็นการซื้อขายจริง ก็จะเข้าข่ายต้องเรียกภาษีจากรายได้ จากดอกเบี้ยที่พึงมี ถ้าไม่เรียกจากเจ้าหนี้ ก็ต้องเรียกจากลูกหนี้”

อย่างไรก็ดี จากเฟซบุ๊กของนายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง ที่บรรยายตอนหนึ่งว่า “อาจจะอธิบายได้ว่าเป็นธุรกรรมภายในครอบครัว คือ ลูกสาวขอติดเงินไว้ก่อน ก็ไม่ผิดปกติที่จะบอกเขาว่า ‘ไม่เป็นไร มีเมื่อไรค่อยเอามาใช้‘ ส่วนการไม่คิดดอกเบี้ยกับลูกก็เข้าใจได้ (ส่วนกรณีนี้สมเหตุสมผลหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)” นั้น ตนมองว่า กรมสรรพากร อาจจะไม่ใช้เป็นบรรทัดฐานในการตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะนายกรัฐมนตรี ไม่น่าจะอยู่ในฐานะขัดสนเงินทองมากมายเช่นนั้น

“ต้องไม่ลืมว่านายกรัฐมนตรี รายงานว่ามีทรัพย์สินมากถึง 13,993,826,903.79 บาท ผมจึงขอให้ไว้เป็นข้อมูลเพื่อการศึกษา โดยไม่มีการกล่าวหาใด ๆ หรือบุคคลใด” นายธีระชัย ระบุ

ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรมว.คลัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ตั้งคำถามในประเด็นที่นายกรัฐมนตรี ใช้ตั๋ว PN ซื้อหุ้นจากครอบครัว ว่าเป็นความผิดทางกฎหมายหรือไม่ โดยเห็นว่าเรื่องนี้ กรมสรรพากร และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะเป็นผู้ตอบได้ เพราะแม้แต่ผู้อภิปรายในประเด็นนี้ (นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. พรรคประชาชน) ยังใช้คำว่า “ช่องว่างทางกฎหมาย” ซึ่งทำให้เห็นว่า ผู้อภิปราย ก็ไม่ได้ฟันธงว่าเป็นความผิดแบบขาว/แบบดำ

ประเด็นที่ทำให้มีข้อกังขา คือ ทำไมตั๋ว PN ไม่มีการระบุว่าต้องชำระหนี้เมื่อใด แถมไม่มีภาระดอกเบี้ยด้วย เหมือนกับเป็นหนี้เทียม

หากถามว่าผิดปกติหรือไม่ คงต้องตอบว่าในทางธุรกิจผิดปกติแน่นอน แต่ก็อาจจะอธิบายได้ว่าเป็นธุรกรรมภายในครอบครัว ลูกสาวขอติดเงินไว้ก่อน ก็ไม่ผิดปกติที่จะบอกเขาว่า ‘ไม่เป็นไร มีเมื่อไรค่อยเอามาใช้’ ส่วนการไม่คิดดอกเบี้ยกับลูกก็เข้าใจได้ (ส่วนกรณีนี้สมเหตุสมผลหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)

ส่วนนายกฯ ได้ชี้แจงว่า “เดี๋ยวปีหน้า ก็จะเคลียร์หนี้แล้ว” ซึ่งแน่นอน เมื่อเคลียร์ก็ต้องมีภาระภาษีเกิดขึ้นกับผู้ขายทันที และได้ชี้แจงว่าหนี้ส่วนนี้ก็ได้มีการรายงาน ป.ป.ช.มาตลอด ถือว่าครบถ้วนตามที่ควรจะต้องชี้แจงในการอธิบายตน (ขาดเพียงว่าทำไมตอนรับโอน ถึงมีความไม่พร้อมที่จะชำระ?)

“ต่อคำถามว่า ที่จะเคลียร์เป็นเพียงเพราะถูกอภิปรายหรือไม่ เราไม่สามารถตอบได้ แต่ถ้าเคลียร์หนี้จริง ฝ่ายค้านจะพิสูจน์เจตนาตามที่กล่าวหาไว้อย่างไร? ผมมองไม่เห็นตรงนี้ หากจะลงเอยด้วยการเคลียร์หนี้แบบนั้น แม้ว่าเดิมอาจไม่ได้คิดจะมีการชำระหนี้แต่อย่างใด อย่างน้อยการอภิปรายก็มีส่วนทำให้รัฐได้เงินภาษี เพิ่มขึ้นหลายร้อยล้านบาท และเปิดประเด็นให้ประชาชนประเมินเองว่าเชื่อใคร” นายกรณ์ ระบุ

 

ทั้งนี้ นายธีระชัย ได้ตั้งข้อสังเกตต่อเนื่องจากนายกรณ์ โดยแยกไว้แต่ละประเด็น ดังนี้

1. หลักกฎหมายถือ substance over form หมายความว่า ยึดเอาผลทางเศรษฐกิจเป็นหลัก มากกว่ารูปแบบกฎหมาย

ดังนั้น ถึงแม้กรณีนี้จะใช้รูปแบบตั๋วสัญญาใช้เงิน แต่ถ้าเอาสามัญสำนึกของวิญญูชนมาจับ กรณีเจตนาเป็นตั๋วสัญญาที่ไม่คิดจะใช้เงิน ก็ต้องถือเป็นนิติกรรมอำพราง ต้องเริ่มต้นก่อนว่า ทรัพย์สินเดิมอาจจะซุกไว้ในที่มืด เมื่อจะเอาออกมาที่สว่าง ถ้าการโยกย้ายเกิดมีภาระภาษี ก็ควรจะต้องเสียเต็มกติกา กรณีถ้าหากจะหนีภาษี วิธีง่ายสุดก็คือ เปลี่ยนจากการให้ ที่ต้องเสียภาษี ไปเป็นการขาย ที่ไม่ต้องเสียภาษี โดยทำเอกสารลวง ไม่ต้องกำหนดวันชำระเงิน ไม่ต้องกำหนดดอกเบี้ย คือเป็นตั๋วสัญญาจะไม่ใช้เงินนั่นเอง

2. ถ้าผู้รับยังไม่มีเงินจะจ่ายค่าหุ้น ก็ต้องรอไว้จนกว่าจะมีเงิน

กฎหมายกำหนดว่า การรับและการให้ ผู้รับต้องเสียภาษี ดังนั้น ถ้าหากเป็นการยกให้ ก็ต้องไม่ลวงว่าเป็นการขาย ถ้าสมมติอยากให้ผู้รับหุ้น ต้องจ่ายเงินค่าหุ้นจริง ก็จะต้องรอไว้ก่อน จนกว่าผู้รับจะมีรายได้มากพอที่จะจ่ายค่าหุ้น ไม่ใช่ไปทำนิติกรรมอำพราง นอกจากนี้ ผู้ให้หุ้นส่วนใหญ่ ก็ไม่ใช่พ่อแม่ แต่เป็นพี่สาว 2,388 ล้านบาท พี่ชาย 335 ล้านบาท ลุง 1,315 ล้านบาท ป้าสะไภ้ 258 ล้านบาท มารดาเป็นผู้ให้หุ้นเพียง 136 ล้านบาท ไม่มีเหตุผลที่วิญญูชนจะเชื่อว่า พี่สาว/พี่ชาย/ลุง/ป้าสะไภ้ จะต้องรีบร้อนขายหุ้น ทั้งที่ผู้รับยังไม่พร้อมจะจ่ายเงิน

3. อาจมีภาระภาษีก่อนหน้า

พี่สาว/พี่ชาย/ลุง/ป้าสะไภ้ ที่อ้างว่า ไม่ได้ให้หุ้น แต่อ้างว่าเป็นการขายหุ้น จะต้องพิสูจน์ว่าราคาขายสมเหตุสมผลหรือไม่ และกรมสรรพากร อาจจะตีมูลค่าแท้จริงสูงกว่าราคาพาร์ก็ได้ อีกทั้งกรมสรรพากร อาจสมควรมีการตรวจสอบว่า พี่สาว/พี่ชาย/ลุง/ป้าสะไภ้ ได้หุ้นมาอย่างไร ถือเป็นรายได้ที่บุคคลเหล่านี้จะต้องเสียภาษีหรือไม่ รวมทั้ง ป.ป.ช.อาจสมควรมีการตรวจสอบว่า หุ้นในครอบครองของบุคคลเหล่านี้ ได้มาโดยชอบ หรือเป็นขบวนการซุกหุ้นของบุคคลในครอบครัว ที่ต้องยึดหรืออายัดคืนหรือไม่

4. ความผิดสำเร็จแล้ว

จากที่นายกรณ์กล่าว นายกฯ ได้ชี้แจงว่า ‘เดี๋ยวปีหน้าก็จะเคลียร์หนี้แล้ว’ และได้ชี้แจงว่าหนี้ส่วนนี้ก็ได้มีการรายงาน ป.ป.ช. มาตลอด ขอตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าหากมีการกระทำนิติกรรมอำพราง ความผิดได้สำเร็จไปแล้ว การเคลียร์หนี้ไม่ได้ทำให้ลบล้างความผิดที่เกิดขึ้นไปแล้ว ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียื่นรายงาน ป.ป.ช เป็นครั้งแรก จึงไม่สามารถอ้างว่าได้มีการรายงาน ป.ป.ช. มาตลอด และการรายงาน ป.ป.ช. ก็ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติถูกต้องตามกฎของกรมสรรพากร

5. ภาระภาษี ไม่ใช่เกิดขึ้นเมื่อจ่ายเงินจริง

เมื่อบุคคลหนึ่งได้รับหุ้น เป็นการให้ ภาระภาษีเกิดขึ้น ณ วันที่ได้รับหุ้น ไม่ใช่วันที่มีการจ่ายเงิน สิ่งที่นายกรัฐมนตรีอ้างว่า ภาระภาษีเกิดขึ้น เมื่อมีการชำระเงิน จึงไม่ถูกต้อง

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 มี.ค. 68)

Tags: , , ,
Back to Top