
นายถิรพงศ์ คำเรืองฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล [WAVE] เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานปี 2568 บริษัทฯ ได้ปรับโมเดลธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อขยายสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพเติบโต
บริษัท เวฟ เอ็ดดูเคชั่น กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจการศึกษา ได้ขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจสู่การเปิดสถาบันสอนภาษาจีนแมนดาริน “Let’s Mandarin” จากเดิมที่มีสถาบันสอนภาษาอังกฤษ “Wall Street English”
ส่วนบริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจเป็นผู้ให้บริการ Climate Solution ครบวงจร และเป็นหนึ่งในผู้ถือครองใบรับรองพลังงานหมุนเวียน I-REC(E) รายใหญ่ที่สุดในประเทศ เตรียมนำใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECs) มาเป็นสินทรัพย์หรือโครงการอ้างอิงสำหรับการออกโทเคนดิจิทัลในอนาคต เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมั่นคงในระยะยาว
เนื่องจากบริษัท เวฟ บีซีจี ถือเป็นธุรกิจ New S-Curve โดยดำเนินธุรกิจคาร์บอนเครดิตครบวงจรที่มีการซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน หรือ “I-REC(E)” ภายในประเทศ ซึ่งปัจจุบันเป็นการเจรจาและตกลงกันเองแบบ Over-the-Counter (OTC) จึงไม่สามารถหาราคาตลาดได้
ทั้งนี้ บริษัทฯ ให้ความมั่นใจว่า เวฟ บีซีจี เป็นบริษัทย่อยที่มีศักยภาพเติบโตสอดรับกับเมกะเทรนด์โลก โดยเฉพาะใบรับรองพลังงานหมุนเวียน และการพัฒนาคาร์บอนเครดิตในรูปแบบต่างๆ หลังจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้เริ่มออกกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจต้องปรับตัวและปฏิบัติตามมากขึ้นในอนาคตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน ประกอบกับประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยวางเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2065 จึงคาดการณ์ว่าความต้องการใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECs) ในปี 2573 มากถึง 70,101,000 RECs (อ้างอิงบริษัท บูโร เวอริทัส (ประเทศไทย) จำกัด) และราคาใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECs )ในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่า 11-60% ต่อปี ภายในปี 2567 – 2573
*ตลท.ขึ้น SP วันนี้ ก่อนขึ้น CS/CB 26 มี.ค.
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ขึ้นเครื่องหมาย SP หุ้น WAVE ในวันนี้ (25 มี.ค.68) และปลดเครื่องหมายในวันที่ 26 มี.ค.68 เนื่องจาก บริษัทได้นำส่งงบการเงินประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2567 มายังตลาดหลักทรัพย์ฯแต่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินดังกล่าวซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. อาจสั่งการให้บริษัทแก้ไขงบการเงินได้
และขึ้นเครื่องหมาย CS หุ้น WAVE ในวันที่ 26 มี.ค. 68 จากที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็น/ไม่ให้ข้อสรุปสำหรับงบการเงิน ประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567
และขึ้นเครื่องหมาย CB หุ้น WAVE ในวันที่ 26 มี.ค.68 เนื่องจากผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 3 ปีติดต่อกันจนทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้น < 100% ของทุนชำระแล้ว สำหรับงบการเงิน ประจำปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567
โดยหุ้นที่ถูกขึ้นเครื่องหมายข้างต้น จะต้องซื้อด้วยบัญชี Cash Balance (คือ สมาชิกต้องดำเนินการให้ลูกค้าวางเงินสดไว้ล่วงหน้ากับสมาชิกเต็มจำนวนก่อนซื้อหลักทรัพย์นั้น) ตั้งแต่วันที่ขึ้นเครื่องหมายเป็นต้นไป จนกว่าจะแก้เหตุดังกล่าวได้
ทั้งนี จากงบรวมในปี 2567 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ เท่ากับ 1,069.44 ล้านบาท โดยผลกระทบจากรายการพิเศษฯ มาจากผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินค้าคงเหลือ (ใบรับรองพลังงานหมุนเวียน: RECs) จำนวน 1,030.86 ล้านบาทและสินทรัพย์จำนวน 37.98 ล้านบาท
ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินของบริษัทฯในงบการเงินปี 2567 เนื่องจากข้อจำกัดของสถานการณ์ธุรกิจคาร์บอนเครดิตในปัจจุบันทำให้ไม่สามารถหาหลักฐานการตรวจสอบที่เหมาะสมได้อย่างเพียงพอเกี่ยวกับราคาตลาดโดยประมาณที่คาดว่าจะขายได้ตามลักษณะการประกอบธุรกิจ
บริษัทฯ ชี้แจงว่า การที่ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นต่องบการเงินของบริษัทฯ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการถูกจำกัดขอบเขตโดยผู้บริหารหรือผิดมาตรฐานการบัญชี แต่เกิดจาก ธุรกิจคาร์บอนเครดิต เป็น New S-Curve ยังไม่มีราคาตลาดเพื่อใช้ในการอ้างอิง ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของการซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียนในประเทศที่ดำเนินการในรูปแบบ Over-the-Counter (OTC) ซึ่งเป็นการซื้อขายโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายผ่านการเจรจาและตกลงกันเอง โดยไม่มีตลาดกลางที่เป็นทางการเพื่อรองรับการซื้อขาย
เดิมบริษัทได้มีการว่าจ้างผู้ประเมินอิสระในการประเมินใบรับรองพลังงานหมุนเวียนที่บริษัทถือครอง ซึ่งเป็นวิธีการที่เป็นสากลในกำหนดราคาเพื่อใช้ในการอ้างอิงในช่วงที่ตลาดไม่สมบูรณ์เพิ่มเติม โดยมีสมมติฐานจาก อัตราภาษีคาร์บอน(Carbon Tax) ตามกลไกราคาคาร์บอนในโครงสร้างภาษีสรรพสามิตน้ามันและผลิตภัณฑ์ แต่ยังไม่สามารถนามาใช้ได้เนื่องจากยังไม่มีการประกาศบังคับใช้ จึงทำให้ต้องใช้ราคาอัตราค่าไฟฟ้าพลังงานสีเขียวแบบไม่เจาะจงแหล่งที่มา (Utility Green Tariff: UGT1) ที่การไฟฟ้านครหลวง ประกาศ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่อใช้เป็นราคาอ้างอิงของใบรับรองพลังานหมุนเวียนของบริษัท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีความเชื่อมั่นว่าการดำเนินธุรกิจดังกล่าวข้างต้น จะส่งผลให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีขึ้นได้ในอนาคต
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (25 มี.ค. 68)
Tags: ESG, WAVE, ถิรพงศ์ คำเรืองฤทธิ์, หุ้นไทย, เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล