พรรคประชาชน เปิดที่มาค่าไฟแพง! ชาวบ้านอ่วม แต่กลุ่มทุนใกล้ชิดรัฐบาลนับวันอู้ฟู่

นายวรภพ วิริยะโรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี จากกรณีโกงค่าไฟประชาชน ทุจริตนโยบาย สานต่อกระบวนการค่าไฟแพง ปล้นเงินจากกระเป๋าประชาชนทั้งประเทศ แลกดีลจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงานที่สนิทสนมกับนายกฯ และครอบครัว

สำหรับสาเหตุของค่าไฟแพงมาจาก 2 ส่วนใหญ่ คือ

1. ต้นทุนเชื้อเพลิง ซึ่งรัฐบาลควบคุมไม่ได้ ประเทศไทยผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ (LNG) 60% ซึ่งไทยต้องนำเข้า LNG จากต่างประเทศด้วย โดยเมื่อ 3 ปีที่แล้ว มีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ค่าก๊าซ LNG แพงขึ้น 3 เท่า ค่าไฟจาก 3 บาท/หน่วย เป็น 5 บาท/หน่วย ต่อมาค่าก๊าซ LNG ลดลงมา ค่าไฟจึงลดลงมาที่ 4 บาท/หน่วย เป็นการลดลงตามต้นทุนในตลาดโลก ไม่ใช่ผลงานของรัฐบาล

2. นโยบายของรัฐบาล แท้จริงแล้วค่าไฟน่าจะลดลงได้มากกว่านี้ หรือรัฐบาลอาจตั้งใจทำให้ค่าไฟแพงหรือไม่ โดยจากผลลัพธ์ของนโยบายรัฐที่อนุมัติให้เอกชนสร้างโรงไฟฟ้าได้จำนวนมาก จนล้นเกินความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ใช้จริง และทุกโรงไฟฟ้าที่รัฐอนุมัติให้สร้างมาพร้อมค่าความพร้อมจ่าย คือขอให้เอกชนสร้างโรงไฟฟ้าเสร็จแม้ไม่ได้เดินเครื่อง แต่ยังได้เงิน เพราะรัฐจะไปจ่ายส่วนนี้ให้ และมาคิดเงินกับประชาชนผ่านบิลค่าไฟ

ปัจจุบัน ไทยมีโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ทั้งหมด 13 โรงไฟฟ้า และมีถึง 7 โรงไฟฟ้า ที่ไม่ได้เปิดเดินเครื่องแม้แต่วันเดียว แต่ยังได้เงิน 2,500 ล้านบาท/เดือน และถ้านำค่าความเสียหายของโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่องเลยทั้งปี อยู่ที่ 55,042 ล้านบาท/ปี ซึ่งถ้านำมาหารกับผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ 22.6 ล้านครัวเรือน ที่ใช้ไฟฟ้าในสัดส่วน 30% ค่าความเสียหายอยู่ที่ 730 บาท/ปี/ครัวเรือน หากหารบิลค่าไฟ คิดเป็น 61 บาท/ครัวเรือน/เดือน ที่คนไทยเราทุกคนเหมือนถูกปล้นเงินจากกระเป๋า ไปให้เจ้าของโรงไฟฟ้าเอกชนโดยนโยบายของรัฐ

นายวรภพ กล่าวว่า ค่าไฟประชาชนที่แพงขึ้น ยังมีกลุ่มทุนพลังงานที่มั่งคั่งขึ้นทุกวัน จึงถือเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย และวันนี้ประชาชนเริ่มรู้ทัน จับตาเรื่องการสร้างโรงไฟฟ้าจำนวนมาก จึงมีวิวัฒนาการของการทุจริตเชิงนโยบาย ของขบวนการค่าไฟแพง ที่เริ่มอ้างถึงพลังงานหมุนเวียน โดยความผิดจากนโยบายของรัฐบาลมี 2 ความผิดใหญ่ ๆ ดังนี้

2.1 ความผิดแรก นายกรัฐมนตรี แพทองธาร เดินหน้าสานต่อการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟส 2 รอบ 3,600 เมกะวัตต์ ที่ทุจริตนโยบาย แม้สถานะตอนนี้จะชะลอโครงการมาแล้ว 3 เดือน แต่รัฐบาลและนายกฯ ได้ตั้งใจโกงค่าไฟประชาชนขนาด 100,000 ล้านบาทไปแล้ว โดยไทม์ไลน์ของโครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟส 2 รอบ 3,600 เมกะวัตต์ มีดังนี้

  • โครงการริเริ่มจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยในเดือนมี.ค. 66 กพช. มติรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติม 3,600 เมกะวัตต์ โดยใช้ราคารับซื้อและไม่มีการประมูล ตามเกณฑ์การรับซื้อเมื่อปี 65
  • รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน สานต่อนโยบาย โดยในเดือนก.ค. 67 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติเดินหน้ารับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนเพิ่มเติม 3,600 เมกะวัตต์
  •  รัฐบาลแพทองธาร ในเดือนก.ย. 67 สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนเพิ่มเติม 3,600 เมกะวัตต์, 24 ต.ค. 67 นายกฯ หนีตอบกระทู้สด และรมว.พลังงาน ยอมรับว่าโครงการมีปัญหาจริง, 14 พ.ย. 67 รมว.พลังงาน ส่งหนังสือให้กกพ. ระงับโครงการ แต่ไม่มีผลทางกฎหมาย, 25 พ.ย. 67 ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) นายกฯ สั่งทุกหน่วยงาน เร่งเดินหน้าโครงการพลังงานสะอาด ทุกโครงการ, 16 ธ.ค. 67 กกพ. ประกาศรายชื่อเอกชนที่ได้คัดเลือก และกำหนดให้ลงนามสัญญาภายใน 15-60 วัน, 25 ธ.ค. 67 มติกพช. ชะลอโครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนเพิ่มเติม 3,600 เมกะวัตต์ออกไปก่อน แต่ยังไม่ใช่การระงับหรือยกเลิกโครงการ

นายวรภพ กล่าวว่า ขณะนี้ผ่านมา 3 เดือน ยังไม่มีการตัดสินใจจากนายกฯ หรือเป็นเพียงเทคนิคในการรอให้ข่าวเงียบ และค่อยไปลงนามซื้อขายไฟฟ้ากับเอกชนต่อได้หรือไม่ เพราะการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนเพิ่มเติม 3,600 เมกะวัตต์ เป็นการทุจริตเชิงนโยบายขนาดใหญ่ 100,000 ล้านบาท โดยมีข้อทุจริตนโยบายทั้งหมด 4 ประเด็น คือ

1) เป็นการรับซื้อไฟฟ้าที่ไม่มีการประมูลแข่งขันราคา จะทำให้ค่าไฟแพงขึ้น 4,000 ล้านบาท/ปี หรือ 100,000 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 25 ปี จากการที่รัฐบาลไม่เปิดประมูล

“บริษัทคนไทยชนะประมูลโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่ประเทศอินเดีย ที่ราคา 1.1 บาท/หน่วย แต่รัฐบาลเพื่อไทยไม่เปิดประมูล แต่จะรับซื้อราคาแพงที่ 2.2 บาท/หน่วย แน่นอนว่าการเอาต้นทุนต่างประเทศมาเทียบ เทียบตรง ๆ ไม่ได้ เพราะแดดเขาอาจแรงกว่า ที่ดิน ค่าแรงอาจถูกกว่า แต่ทุกคนรู้ว่าต้นทุนไม่ต่างกันถึง 2 เท่า และคนที่รู้ดีที่สุดว่าต้นทุนของไทยน้อยกว่า 2.2 บาท/หน่วย คือนายกฯ เพราะพ่อนายกฯ ช่วยยืนยันเมื่อ 2 เดือนที่แล้วว่า ต้นทุนไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 1-1.8 บาท/หน่วย แต่รัฐบาลเพื่อไทยไม่เปิดประมูล แต่จะรับซื้อราคาแพงที่ 2.2 บาท/หน่วย ดังนั้น ค่าไฟประชาชนจะแพงขึ้น จากการที่รัฐบาลสานต่อนโยบาย และให้กลุ่มทุนพลังงานรวยขึ้น” นายวรภพ กล่าว

2) รับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนเพิ่มเติม 3,600 เมกะวัตต์ ซ้ำซ้อนกับการเปิดเสรีไฟฟ้าสะอาด 2,000 เมกะวัตต์ ของรัฐบาลเอง ซึ่งจะทำให้ค่าไฟแพงขึ้น และกลุ่มทุนพลังงานได้กำไร

โดยรัฐบาลเศรษฐา ได้อนุมัติเปิดเสรีพลังงานสะอาด Direct PPA 2,000 เมกะวัตต์ เมื่อเดือนมิ.ย. 67 ซึ่งตอบโจทย์เอกชน RE100 และไม่กระทบค่าไฟ แต่ต่อมา ในรัฐบาลแพทองธาร รับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนเพิ่มเติม 3,600 เมกะวัตต์ ในเดือนก.ค. 67 ซึ่งไม่ตอบโจทย์เอกชน RE100 และมีค่าความพร้อมซื้อ ทำให้ค่าไฟแพงขึ้น

3) ล็อกโควตา กีดกันรายใหม่ ปลอบใจรายเก่า 2,100 เมกะวัตต์ เฉพาะเอกชนที่ยื่นโครงการฯ เฟสแรก รอบ 5,200 เมกะวัตต์ จะได้สิทธิ์ก่อน โดยไทม์ไลน์ ขบวนการสานต่อค่าไฟแพง 5,200 เมกะวัตต์ เริ่มจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 6 พ.ค. 65 มติกพช. อนุมัติรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ โดยกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้า หรือไม่เปิดประมูล ต่อมาวันที่ 30 ก.ย. 65 กกพ. ประกาศรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 5,200 เมกะวัตต์ โดยไม่ประกาศหลักเกณฑ์ คำนวณคะแนนในการคัดเลือก

ทั้งนี้ โดยเฉลี่ยแล้ว เอกชนที่ยื่นโครงการ 100 โครงการ จะได้รับคัดเลือกเพียง 45 โครงการ จำนวนโครงการที่เอกชนยื่น และผ่านคุณสมบัติเบื้องต้น 386 โครงการ จำนวนที่ได้รับคัดเลือก 175 โครงการ โดยเฉลี่ยโครงการที่ได้รับคัดเลือก 45% ทั้งนี้ หากกางผลลัพธ์ดู จะเห็นการกระจุกตัวของกลุ่มทุนพลังงานที่ได้รับคัดเลือกการรับซื้อไฟฟ้าหนุนเวียนเฟสแรก รอบ 5,200 เมกะวัตต์ ที่ไม่เปิดประมูล และไม่มีประกาศหลักเกณฑ์คำนวณคะแนน โดยในลำดับที่ 1 ยื่น 35 โครงการ ได้ 35 โครงการ ได้คัดเลือก 100% ได้โครงการทั้งหมด 1,980 เมกะวัตต์ คิดเป็น 41% จากทั้งหมด ส่วนลำดับที่ 2 ยื่น 25 โครงการ ได้ 17 โครงการ ได้คัดเลือก 68% ได้โครงการทั้งหมด 832 เมกะวัตต์ คิดเป็น 17% จากทั้งหมด

“ไม่ได้กล่าวหา หรือว่าเอกชนที่ได้รับคัดเลือก แต่มาจากนโยบายของรัฐ ที่ไม่เปิดประมูลแข่งขันราคา และหลักเกณฑ์คะแนน แต่บังเอิญว่า นายกฯ และพ่อ เป็นเพื่อนสนิท และก๊วนกอล์ฟเดียวกับเอกชนผู้โชคดีที่ได้รับคัดเลือกขายไฟฟ้าให้รัฐ 1,980 เมกะวัตต์ คิดเป็น 41% จากการรับซื้อไฟฟ้าที่ไม่มีการประมูล ทั้งนี้ การมีเพื่อนเป็นเจ้าสัวไม่ได้ผิดอะไร ถ้ารัฐบาลไม่ได้สานต่อนโยบาย หรือเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงาน” นายวรภพ กล่าว

4) ไม่ประกาศหลักเกณฑ์คำนวณคะแนนเทคนิค เปิดช่องใช้ดุลพินิจมหาศาล ไว้จิ้มเลือกให้กลุ่มทุนพลังงานใดได้เลยอีกรอบ

2.2 ความผิดต่อมา คือรัฐบาลเร่งรีบลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การรับซื้อไฟฟ้าเฟสแรก รอบ 5,200 เมกะวัตต์ ให้เพื่อนสนิทนายกฯ และพ่อ โดยพรรคเพื่อไทยรู้อยู่แล้วตั้งแต่แรกว่าจะทำให้ค่าไฟแพงขึ้น

ขณะเดียวกัน มีคำสั่งทุเลาชั่วคราวจากศาลปกครองกลาง และศาลปกครองเพชรบุรี ที่ชี้ว่า “กระบวนการคัดเลือก ไม่มีความโปร่งใส ไม่มีความยุติธรรม และจะเป็นเหตุให้ประเทศชาติเสียประโยชน์ได้” ก่อนหน้าลงนามสัญญา ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี มีอำนาจเต็มที่จะชะลอหรือยกเลิกโครงการ แต่ก็ไม่ทำ กลับเดินหน้าลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าให้เพื่อนสนิทนายกฯ และพ่อ

“รัฐบาลพรรคเพื่อไทย เร่งรีบลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กับเพื่อนสนิทนายกฯ และพ่อ โดยไม่สนใจคำสั่งทุเลาชั่วคราวจากศาลปกครองที่ชี้ว่า ประเทศชาติจะเสียประโยชน์ได้ ซึ่งพรรคเพื่อไทย รู้อยู่แล้วว่าการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่ม จะทำให้ค่าไฟแพงขึ้น แต่ก็ลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้ากับเพื่อนสนิทนายกฯ และพ่อ ขณะเดียวกัน ยังเคยว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไว้ว่า รัฐบาลที่ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า คือต้นเหตุที่ทำให้ค่าไฟแพง แต่กลับสานต่อลงนามสัญญาซื้อไฟฟ้าเสียเอง อย่างไรก็ดี นายกฯ มีอำนาจยกเลิก/ชะลอ แต่ก็ไม่ทำ และลงนามในสัญญาให้เอกชนไปเลย” นายวรภพ กล่าว

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มี.ค. 68)

Tags: , , , ,
Back to Top