
หลังจากที่ บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล [JAS] ขายบมจ.ทริปเปิลที บรอดแบนด์ (3BB) ซึ่งเป็นรายได้หลักของบริษัทออกไปทำให้แกนหลักธุรกิจหายได้ บริษัทพยายามหาโอกาสลงทุนที่กำเงินทุนอยู่ในมือจากการขาย 3BB กว่า 3 หมื่นล้านบาท ในที่สุด JAS สร้างความฮือฮาอีกครั้งหลังชนะประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (EPL) และเอฟเอคัพ อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการถ่ายทอดสด รีรันและไฮไลท์ เป็นระยะเวลารวม 6 ฤดูกาล 2025/26-2030/31 ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศกัมพูชา และประเทศลาว ด้วยมูลค่า 1.9 หมื่นล้านบาท
ในปีแรก JAS ตั้งเป้าสมาชิก 3 ล้านราย และคาดว่ารายได้ทะลุ 10,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มถ่ายทอด EPL ในวันที่ 16 ส.ค.68 เป้าหมายนี้ทำได้แน่หรือ?!
“อินโฟเควสท์” มาพูดคุยกับนายโสรัชย์ อัศวะประภา ประธานกรรมการ, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (รักษาการ) บมจ. จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล [JAS] ถึงเป้าหมายดังกล่าวว่า JAS มาประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (EPL) เพราะเห็นโอกาสทางธุรกิจ และมั่นใจ EPL สามารถมีรายได้เลย โดยไม่ต้องทำตลาดมาก เพราะ EPL เป็นที่รู้จักดีอยู่แล้ว เป็น Sport content ที่คนไทยชื่นชอบ
เห็นโอกาสจึงลุยประมูล EPL
นายโสรัชย์ กล่าวว่า ที่ JAS ไปประมูล EPL เป็นเพราะ International Management Group (IMG) ซึ่งเป็นเอเยนซีกีฬาระดับโลก ได้แนะนำชักชวนให้ JAS เข้าร่วมประมูลลิขสิท์ธิถ่ายทอดฟุตบอลอังกฤษ โดย JAS รู้จักกับ IMG มานาน เพราะทางบริษัทซื้อ Content กีฬาดัง ๆ มานานเพื่อป้อนช่อ งMono 29 นอกจากนี้ JAS เห็นช่องว่างทำการตลาดได้ จากผู้บริหารลิขสิทธิ์รายเดิม
“JAS เห็น gap Economic ของ value จากรายเดิม เพราะหากนำเข้ามาแล้วขายให้กับทุกคน EPL ก็ชอบอยู่แล้ว”
นายโสรัช ต์มั่นใจ JAS ประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอย CTH แน่ เพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนไป เพราะตอนนั้น CTH ไม่มีเน็ตบ้านในมือ ขณะที่ตัว CTH ก็ไม่มีความพร้อมในการถ่ายทอดสด ที่จะผ่านดาวเทียม ซึ่งที่สุดก็เสียหาย แต่มองวันนี้ เทคโนโลยี ทำให้การชมเชื่อมต่ออย่างไร้รอยต่อ ซึ่งฟุตบอลพรีเมียร์ลีกถ่ายทอดผ่านแอปฯ Monomax ง่ายมาก โดย EPL มีจำนวน 380 นัดระยะเวลา 10 เดือนต่อฤดูกาล ส่วน FA มี 10 กว่านัด

ปีแรกมีสมาชิก 3 ล้านคนไม่เกินจริง!!
นายโสรัชต์ อธิบายถึงที่มาเป้าหมาย 3 ล้านรายที่จะเข้ามาชม EPL ตั้งแต่ปีแรกว่าจากการที่บริษัทได้ทำผลสำรวจพบว่าในไทย มี 6 ล้านคนที่ชม EPL ตลอดฤดูกาล โดยลูกค้าจากรายเดิม 2.7-2.8 ล้านรายที่ยอมจ่ายเงินดู และมีจำนวน 3-4 แสนราย ที่ดูตามร้าน
ปีแรกเรา challenge ที่ 3 ล้านราย เพราะเราคิดว่ามีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น 2.5- 3 ล้านราย แต่ส่วนที่ดูตามช่องทางเว็บเถื่อนที่ขาย 100-200 บาท/เดือน เราคิดว่าราคาที่เราออกมาใกล้เคียงน่าจะสร้างความน่าสนใจด้วยคุณภาพของภาพและเสียงดี และเราก็ยังทำแคมเปญชิงโชค หรือชิงตั๋วไปชมฟุตบอล โดยราคาที่ JAS ขายคือ 390 บาท/เดือน ต่ำกว่ารายเดิม 25%
เชื่อมั่นปีแรกทะลุ 1 หมื่นล้านบาท กำไรเห็นแน่!!
นายโสรัชต์กล่าวว่า มั่นใจรายได้จะได้ 1 หมื่นล้านบาทในปีแรก โดยกลุ่มลูกค้าแบ่งเป็นรายเดือนกับรายปี ซึ่ง JAS ก็ขายราคาเท่ากันทั้งเอไอเอสและทรู สามารถเข้าดูได้ผ่านแอปฯ MonoMax เหมือนกัน
ขณะที่ต้นทุนลิขสิทธิ์ ที่คิดเป็นเฉลี่ย รายปี 3,000 กว่าล้านบาท และค่าจ้าง MonoMax คิด 50 บาท/account คาดว่ามีมาร์จิ้นราว กว่า 40% ปีแรกก็มีกำไรแล้ว โดยค่าลิขสิทธิ์ บริษัทไม่ได้จ่ายทีเดียว 1.9 หมื่นล้านบาท
EPL จะเป็นแกนหลักของ JAS ด้วยรายได้ 1 หมื่นล้านบาทขึ้นไป กำไร ขึ้นกับสมาชิกรับชม ที่อย่างน้อยได้มา 2.5 ล้านราย ขณะที่ต้นทุนลิขสิทธิ์ ที่คิดเป็นเฉลี่ย รายปี 3,000 กว่าล้านบาท และค่าจ้าง MonoMax คิด 50 บาท/ account คาดว่ามีมาร์จิ้นราว กว่า 40% ปีแรกก็มีกำไรแล้ว
“Roll ของ EPL สำหรับ JAS จะกลายเป็นแกนหลักเพราะด้วยทำรายได้หมื่นอัพ เป็นรายได้หลัก…ที่เราเข้าประมูล เพราะเราเห็น Bottom Line ไม่ขาดทุน จริง ๆ ราคานี้ ไม่ถึง 2 ล้านรายเราก็อยู่ได้ แค่ปีแรกเราก็เห็นกำไร”
จับมือเอไอเอส-ค่ายเบียร์ช่วยลุยทำการตลาด
ส่วนด้านการตลาดบริษัทก็มั่นใจมาก เนื่องจาก EPL ไม่ต้องไปอธิบายว่ามันคืออะไร EPL ดูกันทั้งบ้านทั้งเมือง และดูกันมาเป็น 10 ปี ตลาดเมืองไทยเป็นตลาด EPL ที่แข็งแรงที่สุดในโลกตลาดหนึ่ง คนไทยถ้าพูดถึงบอลต่างประเทศ หนึ่งเดียวคือฟุตบอลพรีเมียร์ลีก
บริษัทได้ดีลกับ เอไอเอส ที่จะเป็น key person ที่จะเชื่อมโยงลูกค้า ซึ่งปัจจุบันเอไอเอสมีลูกค้ามือถือ 50 ล้านเลขหมายและเน็ตบ้านเกือบ 5 ล้านราย ฉะนั้นการจับมือกับเอไอเอสเราไม่ failed แน่นอน และจะขายให้ ทรูในราคาเดีนวกันกับที่ขายให้กับลูกค้าเอไอเอส แต่การจับมือครั้งนี้ เอไอเอสจะร่วมโปรโมทรายการบอลพรีมียร์ลีกทั้งในช้อปเอไอเอส บิลบอร์ด ซึ่งเอไอเอสจะช่วยออกงบการตลาดให้ด้วยซึ่งเอไอเอสมีงบส่วนนี้อยู่แล้ว
นอกจากนี้บริษัทได้คุยกับผู้ผลิตเบียร์ทุกค่าย เราไม่ได้อยากเงินสปอนเซอร์เป็นหลัก แต่อยากจะนำ EPL ไปร่วมคอนเสิร์ตต่าง ๆ ที่ค่ายเบียร์จัดคอนเสิร์ตปีหนึ่งกว่า 1 พันคอนเสิร์ต ทั้งเล็กและใหญ่
ทั้งนี้เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึง Product ได้กว้างมากขึ้น นี่คือการเข้าถึงที่เราดีไซน์ไว้
แต่ถ้ากรณีเลวร้ายสุด สมาชิกที่เราได้ไม่ควรได้ต่ำกว่าทรู ส่วนจุดคุ้มทุน (Breakevent) อยู่ที่ 1 ล้านปลาย ๆ ราย แต่เราก็มองว่า เอไอเอส คือ Winner ที่มั่นใจว่า ทางเขาทำตลาดแบบ aggresive
นายโสรัชต์ กล่าวถึงภาพ JAS ใน 3-5 ปีข้างหน้า รายได้จาก EPL จะมาทุกปีในช่วงที่ถือลิขสิทธิ์ 6 ฤดูกาล รวมแล้วรายได้น่าจะเข้ามา 6-7 หมื่นล้านบาท และคาดว่าหาก JAS ทำตลาด EPL ได้ดีเชื่อว่าจะมีโอกาสได้รับการต่ออายุการถ่ายทอดลิขสิทธิ์ EPL ต่อเนื่อง
“EPL คืออนาคตของ JAS …เราจะทำ EPL ให้ดี”
ทั้งนี้ในงบการเงินเดี่ยว ธุรกิจถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (EPL) จะมีสัดส่วนกว่า 90% และในวงการเงินรวมจะมีสัสดส่วนรายได้ราว 70% และอีก 30% จะมาจากธุรกิจของบริษัทย่อย คือ บมจ.จัสมินเทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS)
JTS เปิดแพลตฟอร์มบริการ AI/จ่อส่ง JASTEL เข้าตลาดหุ้นปี 69
JAS ยังมีบริษัทลูกที่ส่งรายได้เข้าบริษัทแม่ต่อเนื่อง คือ JTS ที่ JAS ถือ 44.14% และกลุ่ม JAS ถือรวม 62.45% ซึ่งที่ผ่านมาได้ขยายเหมืองบิทคอยน์ และได้รับผลตอบแทนจากการซื้อขายเหรียญบิทคอยน์ซึ่งปัจจุบันราคาเหรียญพุ่งขึ้นและล่าสุด JTS ได้ร่วมมือกับ KT Telecom บริษัทโทรคมนาคมชั้นนำจากเกาหลีในการพัฒนาโมเดลภาษาไทยขนาดใหญ่ (LLM) ที่ล้ำสมัยบนแพลตฟอร์ม Generative AI พร้อมประกาศความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Generative AI ในประเทศไทย เพื่อสร้างกลยุทธ์ปัญญาประดิษฐ์พึ่งพาตนเอง (Sovereign AI) และตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนสมาชิก 10 ล้านราย ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอีก 5 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้บริษัท จัสเทล เน็ทเวิร์ค จำกัด (JasTel) ซึ่ง JTS ถืออยู่ 99.99% เป็นผู้ให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคม และอินเทอร์เน็ตในประเทศและระหว่างประเทศ สำหรับองค์กร มีแผนจะเข้าตลาดหุ้นในปี 69 โดยจัสเทล ทำรายได้ปีละ 2,500-3,000 ล้านบาท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มี.ค. 68)
Tags: 3BB, INTERVIEW, JAS, SCOOP, จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล, ทริปเปิลที บรอดแบนด์, หุ้นไทย