“วิโรจน์” แฉนายกฯ ทำนิติกรรมอำพราง เลี่ยงจ่ายภาษีกว่า 200 ลบ. จ่อยื่นฟ้อง ป.ป.ช.

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจว่า คุณสมบัตินายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) คือ ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่มีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง และตามรัฐธรรมนูญ ในหมวด 4 หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ในมาตรา 50(9) ก็ระบุไว้ชัดเจนว่า บุคคลมีหน้าที่เสียภาษีอากรตามที่กฏหมายบัญญัติ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากมาตรานี้ และโดยสำนึกแล้ว คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีควรเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการเสียภาษี

นอกจากนี้ ในหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ มาตรา 62 ยังระบุไว้อีกว่า รัฐต้องรักษาวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ฐานะการเงินการคลังของรัฐมีเสถียรภาพและมั่นคงยั่งยืน ตามกฏหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลัง และจัดระบบภาษีให้เกิดความเป็นธรรมแก่สังคม

“ถ้านายกรัฐมนตรี ยังทำตัวหนีภาษี ความเป็นธรรมเรื่องภาษีจะเกิดขึ้นกับประชาชนได้อย่างไร” นายวิโรจน์ กล่าว

พร้อมระบุว่า หนึ่งในปัญหาการจัดเก็บภาษีของประเทศ คือ การที่คนรวยบางกลุ่ม ใช้ช่องว่างทางกฏหมายหลบเลี่ยงภาษี และในหลายกรณีเข้าข่ายการหลีกเลี่ยง หรือหนีภาษีด้วย ทำให้ภาระการเสียภาษีส่วนใหญ่ต้องตกอยู่กับมนุษย์เงินเดือน ชนชั้นกลาง และประชาชนรากหญ้า ดังนั้นพฤติกรรมการใช้ช่องทางทางกฏหมายในการหลีกเลี่ยง หรือหนีภาษี จึงเป็นพฤติกรรมน่ารังเกียจ เป็นการเอารัดเอาเปรียบประชาชน และขัดขวางการพัฒนาประเทศ นึกไม่ถึงว่าพฤติกรรมแบบนี้ จะเกิดขึ้นกับ น.ส.แพทองธาร

“การอภิปรายวันนี้ เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของเงินแผ่นดิน ให้ประชาชนรู้ว่า คนอย่าง น.ส.แพทองธาร ใช้ช่องว่างทางกฏหมาย ทำนิติกรรมอำพรางในการหนีภาษี เป็นเยี่ยงอย่างให้การหนีภาษีของคนใหญ่คนโต เป็นเรื่องปกติ” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ ตั้งคำถามกับ น.ส.แพทองธาร หลังได้รับการโปรดเกล้าฯ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 67 ถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร โอนหุ้น 19 บริษัทมูลค่า 9,330.5 ล้านบาท แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่า มีการโอนหุ้น 2 บริษัท มูลค่า 393.5 ล้านบาทของตัวเองไปให้กับแม่และพี่สาว จึงอยากให้ น.ส.แพทองธาร ตอบว่าโอนไปด้วยวิธีการใด เป็นการให้ หรือขายหุ้น โดยหุ้นตัวแรก คือ หุ้นบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด จำนวน 22.41 ล้านหุ้น มูลค่าทุนจดทะเบียน 224.1 ล้านบาท มีการโอนไปให้คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ มารดา เมื่อวันที่ 4 ก.ย.67 และหุ้นตัวที่ 2 คือ หุ้นบริษัท ประไหมสุทรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวน 16,949,990 หุ้น มูลค่าทุนจดทะเบียน 169.4 ล้านบาท มีโอนไปให้น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พี่สาว เมื่อวันที่ 5 ก.ย.67

พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าการโอนหุ้นไปให้แม่และพี่สาวเป็นการให้ แม่และพี่สาว ในฐานะผู้รับก็ต้องมีภาระการจ่ายภาษีการรับให้ โดยกรณีแม่ มีภาษีการรับให้ที่ต้องจ่ายให้กับรัฐ คิดเป็นเงิน 10.2 ล้านบาท ในขณะที่พี่สาว ก็มีภาษีการรับให้ที่ต้องจ่ายให้กับรัฐเช่นเดียวกัน คิดเป็นเงิน 8 ล้านบาท รวมแล้วรัฐต้องได้ภาษีการรับให้จากการโอนหุ้นครั้งนี้ เป็นเงิน 18.2 ล้านบาท

“ขอตั้งคำถามถึง น.ส.แพทองธารว่า รัฐจะได้รับภาษีการรับ มูลค่า 18.2 ล้านบาทนี้หรือไม่ แต่เชื่อว่าอีกไม่กี่วัน ภายในวันที่ 31 มี.ค.นี้ ประเทศก็จะรู้” นายวิโรจน์ ระบุ

ทั้งนี้ การที่ต้องตั้งคำถามดังกล่าว เพราะ น.ส.แพทองธาร มีพฤติกรรมใช้ช่องว่างทางกฏหมาย ทำนิติกรรมอำพรางในการหนีภาษีการรับให้มาตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งก่อนที่จะมีภาษีการรับให้ การโอนหุ้นไปคนอื่น การยักย้ายถ่ายเท ซุกหุ้นให้กับคนอื่น ก็จะมีการอ้างว่า “ให้โดยเสน่ห์หา” ไม่ต้องภาษีแต่อย่างใด แต่เมื่อมีการแก้กฏหมายในส่วนภาษีการรับให้ เมื่อวันที่ 5 ส.ค.58 และกฏหมายมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ก.พ.59

ซึ่งตามประมวลรัษฏากร มาตรา 42 (27) เงินได้ที่ได้รับจากความเสน่ห์หา จากบุพการี ผู้สืบสันดาน คู่สมรส จะได้รับการยกเว้นภาษีเฉพาะเงินได้ ในส่วนที่ไม่เกิน 20 ล้านบาทตลอดปีภาษี แต่หากเกิน 20 ล้านบาท ต้องเสียภาษีการรับให้ในอัตรา 5 % และในมาตรา 42 (28) เงินได้ที่ได้จากการอุปการะ หรือจากการให้โดยเสน่ห์หาเนื่องในพิธี หรือตามขนบธรรมเนียมประเพณี จากบุคคลที่ไม่ใช่อุปการี ไม่ใช่ผู้สืบสันดาน หรือไม่ใช่คู่สมรส จะได้รับการยกเว้นภาษีเฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน 10 ล้านบาท และส่วนที่เกิน 10 ล้านบาท ต้องเสียภาษีการรับให้ในอัตรา 5 %

นายวิโรจน์ กล่าวว่า หากไม่ต้องการจ่ายภาษีการรับให้ พ่อแม่ส่วนใหญ่จะทยอยให้ปีละไม่เกิน 20 ล้านบาท หรือหากจะจ่ายทั้งก้อน ส่วนที่เกิน 20 ล้านบาท ก็จ่ายภาษีการรับให้ในอัตรา 5% แต่ น.ส.แพทองธาร กลับมีพฤติกรรมใช้ช่องว่างทางกฏหมายหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้มาตั้งแต่ปี 59 เป็นต้นมา โดยเรื่องนี้สามารถแกะรอยได้จากบัญชีทรัพย์สินที่ยื่นกรณีเข้ารับตำแหน่ง ตามมาตรา 102 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ทั้งนี้ เมื่อเข้าไปดูรายการในรายละเอียดประกอบรายการหนี้สินอื่น จะพบว่า น.ส.แพทองธาร เป็นลูกหนี้ 9 รายการ มูลค่า 4,434.5 ล้านบาท เมื่อไปดูรายละเอียดในเอกสารแนบแค่ 9 แผ่น จึงเชื่อได้ว่าเอกสารแนบ คือ ตั๋วสัญญาใช้เงิน (ตั๋ว PN) ซึ่งเป็นหนี้สินที่นายกรัฐมนตรีซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ เป็นการซื้อแบบซื้อเชื่อ แล้วออกตั๋ว PN แทนการจ่ายเงิน โดยมีเงื่อนไข คือ จะชำระเงินค่าซื้อหุ้นเมื่อทวงถามโดยไม่มีดอกเบี้ย

“น.ส.แพทองธาร ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะต้องมีภาระจ่ายดอกเบี้ยอะไร พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ในกงสี ก็เป็นเจ้าหนี้ที่แสนดีมาก ยอมนอนกอดกระดาษ 9 แผ่น โดยที่ไม่รู้ว่าเงิน 4,434.5 ล้านบาท จะได้คืนวันไหน แสดงว่าการซื้อหุ้นของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ต้องสงสัยว่า เป็นการใช้ตั๋ว PN เป็นเครื่องมือในการทำนิติกรรมอำพราง ทำธุรกรรมการซื้อปลอม ตบตาการได้หุ้นจากการให้ มาเป็นการซื้อหุ้น เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้ที่ต้องจ่ายให้กับแผ่นดิน เป็นพฤติกรรรมที่เอารัดเอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม” นายวิโรจน์ กล่าว

พร้อมระบุว่า ตั๋ว PN ทั้งหมด ออกหลังวันที่ 1 ก.พ. 59 ซึ่งเป็นวันที่ภาษีการรับให้ มีผลบังคับใช้แล้วทั้งสิ้น ซึ่งนิติกรรมอำพรางที่ใช้ตั๋ว PN หนีภาษีการรับให้ มูลค่า 218.7 ล้านบาทนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า น.ส.แพทองธาร มีแต่ความทุจริตเป็นที่ประจักษ์

นายวิโรจน์ กล่าวว่า หลังจากนี้ พฤติกรรมหลีกเลี่ยงภาษีของ น.ส.แพทองธาร จะต้องมีการร้องไปที่ ป.ป.ช. เพื่อให้ ป.ป.ช. ไต่สวนและมีความเห็นต่อกรณีดังกล่าวของ น.ส.แพทองธาร ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และพิจารณาส่งสำนวน และความเห็นของ ป.ป.ช. ไปที่ศาลฎีกาต่อไป เชื่อว่าพฤติกรรมเช่นนี้ น.ส.แพทองธาร จะไม่รอด

พร้อมกันนี้ ยังแสดงความเป็นห่วง สส. ที่จะยกมือไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป เพราะในหมวด 2 ว่าด้วยมาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลัก ข้อ 19 การคบหาสมาคมกับผู้ประพฤติผิดกฎหมาย หรือผู้มีความประพฤติ หรือผู้ที่มีชื่อเสียงในทางเสื่อมเสีย อันกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ ก็อาจเข้าข่ายการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้เช่นเดียวกัน

“ประชาชนเขาหวังฝากความหวังไว้กับผู้นำ แต่กลับได้โจรใส่อาภรณ์ขุนนาง สวมรองเท้าไข่มุก ปากที่ตัวเองเคยพูดว่า มีกิน มีใช้ ไปพร้อม ๆ กัน ที่แท้ก็คือการหาช่องว่างทางกฎหมาย เพื่อให้มีกินกันเฉพาะกงสี ให้ได้อิ่มหมีเฉพาะตระกูล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ หนีภาษี ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีกแล้ว” นายวิโรจน์ กล่าวในท้ายสุด

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มี.ค. 68)

Tags: , , ,
Back to Top