
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวอภิปรายไม่ไว้วางใจรายบุคคล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยเห็นว่าน.ส.แพทองธาร เป็นผู้มีพฤติกรรมไม่อาจไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกรัฐมนตรีได้อีกต่อไป เนื่องจากไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหาร ขาดวุฒิภาวะ ขาดความรู้ความสามารถ และขาดเจตจำนงในการบริหารราชการแผ่นดิน ที่จะแก้ไขปัญหาให้ประเทศชาติและประชาชนได้ ส่งผลให้เกิดการทำลายภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นของประเทศ จงใจลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เพียงเพราะเห็นแก่ประโยชน์ตัวเอง ครอบครัว และพวกพ้องเป็นที่ตั้ง อยู่เหนือผลประโยชน์ส่วนรวม
ขณะเดียวกัน น.ส.แพทองธาร ยังไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์เอารัดเอาเปรียบประชาชน สังคม โกหกหลอกลวง ไม่ดำเนินการตามนโยบายที่ให้สัญญากับประชาชนไว้ เป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนบุคคลที่เป็นปฎิปักษ์ต่อระบบประชาธิปไตย บริหารบ้านเมืองผิดพลาด ล้มเหลวอย่างร้ายแรง ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม ทำลายนิติรัฐ ทำลายระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา เจตนาตลอดจนปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันภายใต้การบริหารงานของตนเอง ทั้งยังทุจริตเชิงนโยบาย บริหารบ้านเมืองเอื้อประโยชน์แก่ผลประโยชน์พวกพ้อง และกลุ่มทุน แต่งตั้งบุคคลที่ขาดความรู้ความสามารถ ไม่ซื่อสัตย์สุจริตไปเป็นรัฐมนตรี หรือตำแหน่งสำคัญอื่น ๆ
นอกจากนี้ น.ส.แพทองธาร ยังสมัครใจยินยอมให้ “บุคคลในครอบครัว” ชี้นำ ชักใย ให้กระทำการหรืองดเว้นกระทำการอันเป็นเรื่องสำคัญของบ้านเมือง ประพฤติตนเสมือนเป็นรัฐมนตรีหุ่นเชิด โดยมี “บุคคลในครอบครัว” เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริง ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการใช้อำนาจใด ๆ จากพฤติการณ์ดังกล่าว ซึ่งการปล่อยให้บุคคลดังกล่าวยังบริหารราชการแผ่นดินต่อไป ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายของประเทศชาติและประชาชน และยากที่จะเยียวยาได้
“หากใครนอนหลับไปตั้งแต่วันเลือกตั้ง เดือนพ.ค. 66 แล้วตื่นขึ้นมาวันนี้ หลายคนคงแปลกใจว่าทำไมทุกอย่างเหมือนเดิม ทำไมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ถึงแนบแน่น กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร การบริหารราชการแผ่นดินถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ของกลุ่มพวกพ้องตนเอง การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน สะเปะสะปะไม่เป็นท่า” นายณัฐพงษ์ กล่าว
โดยรัฐบาลปล่อยให้คนไทยต้องเผชิญปัญหาต่าง ๆ ด้วยตนเอง เริ่มตั้งแต่ปัญหาไฟป่า ไปถึงปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ปัญหาทุนเทา ไปจนถึงปัญหาชายแดน แก๊งคอลเซนเตอร์ และการค้ามนุษย์ ปัญหาการศึกษา ไปถึงปัญหาขีดความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาปากท้อง ค่าไฟแพง และปัญหาด้านการเกษตร ปลาหมอคางดำ และการทุจริตคอร์รัปชัน ทุกวันนี้ทุกคนยังต้องเจอปัญหาแบบเดิม ๆ
นายณัฐพงษ์ ตั้งคำถามว่า ทำไมคนไทยไม่มีโอกาสที่จะได้รัฐบาลที่มีเจตจำนงที่แน่วแน่ในการแก้ปัญหา ทำไมคนไทยไม่มีโอกาสในการมีผู้นำที่มีคุณสมบัติเพียงพอในการหาทางออกให้ประเทศ ทั้ง ๆ ที่การเลือกตั้งเมื่อเดือนพ.ค. 66 ประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศลงมติแล้วว่าอยากได้การเปลี่ยนแปลง คำตอบที่อธิบายได้ชัด คือเพราะรัฐบาลชุดนี้เริ่มต้น ดำรงอยู่ และเดินหน้าต่อเพื่อให้เกิด “ดีลแลกประเทศ” ซึ่งมีผลประโยชน์ของตระกูลชินวัตร และครอบครัวเป็นแกนกลาง และมีประโยชน์ของกลุ่มทุนใกล้ชิด และเครือข่ายการเมืองเป็นแกนรอง ส่วนประเทศและประชาชนต้องรออกไปก่อน เดี๋ยวใกล้วันเลือกตั้ง ค่อยมาปรับบทละครกันอีกที
“รัฐบาลเพื่อไทย ยอมเป็นนั่งร้านให้กลุ่มอำนาจเดิมเพื่อใคร เพื่อคนตระกูลชินวัตรใช่หรือไม่ ให้คนในครอบครัวกุมอำนาจรัฐบาล ให้บริวารได้เป็นรัฐมนตรี ถึงเวลานี้ เป็นเรื่องพิสูจน์แล้วว่ารัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้เป็นนั่งร้านให้ใคร เพราะพวกเขาได้หลอมรวมเป็นพวกเดียวกันแล้ว ใช้วิธีในการจัดการผลประโยชน์ที่เหมือนกัน ต่อรองผ่านสนามกอล์ฟเหมือน ๆ กัน ใช้อำนาจในการเปลี่ยนดำเป็นขาวเหมือนกัน รู้ช่องทางในการทำมาหากิน ผ่านระบบราชการเหมือน ๆ กัน นายกฯ คณะรัฐมนตรี และพรรคร่วมรัฐบาล พูดภาษาเดียวกันและเล่นเกมเดียวกันมาแต่แรก ประชาชนสังเกตได้ไม่ยาก เรื่องใดที่สามารถเดินหน้าได้รวดเร็วผิดปกติ ไม่สนคำทักท้วง รีบผลักดัน คือเรื่องที่ดีลผลประโยชน์กันลงตัว เช่น เรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพลกซ์ ที่กลายเป็นวาระเร่งด่วน ให้ความสำคัญเหนือการแก้ไขปัญหาชาวนา หรือการพัฒนาการศึกษาเพื่อเยาวชน” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ดีลแลกประเทศที่กล่าวถึง ไม่เพียงหมายถึงเรื่องพานายทักษิณกลับบ้าน แต่ยังหมายรวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่ประชาชนคนไทยต้องแลกด้วยผลประโยชน์ของประเทศมากมายมหาศาลที่เกิดขึ้นภายใต้ดีลนี้ ภายใต้รัฐบาลชุดนี้ ดูเผิน ๆ เหมือนประเทศอาจได้อะไรที่ดีขึ้นจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่เวลาผ่านไป 2 ปี เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าสิ่งที่เหมือนจะได้ กลับเสียมากกว่าเดิม การเริ่มต้นและตั้งอยู่ของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ทำให้ประเทศไทยต้องจ่ายต้นทุนราคาแพง
1. ด้านการเมือง รัฐบาลเพื่อไทยทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศถดถอยลง การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่คืบหน้า ยังโดนนานาอารยประเทศ ยังประนามกรณีส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน
2. ด้านเศรษฐกิจ พายุหมุนทางเศรษฐกิจไม่เกิดขึ้นเพราะไม่ได้ทำการบ้านล่วงหน้า จากที่คุยไว้ว่า GDP จะโต 5% แต่ได้แค่ 2.5%
3. ด้านสังคม
“ปัญหาของรัฐบาลเพื่อไทย คือไม่ยอมรับว่าสมัยไทยรักไทยในอดีต ได้รับประโยชน์จากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ไม่ได้เก่งด้วยตนเองทั้งหมด ปี 40 ไทยรักไทยได้อานิสงส์จากนโยบายดี ๆ ที่กองไว้อยู่บนโต๊ะอยู่แล้ว รอให้คนหยิบไปทำต่อได้ทันที เช่น บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า การกระจายเม็ดเงินสู่รากหญ้า และเงินบาทอ่อนตัว ช่วยให้การส่งออกโตก้าวกระโดด พอมาเป็นรัฐบาลเพื่อไทย นโยบายดี ๆ ไม่มีอีกแล้ว พอต้องคิดเองทำเอง ผลก็เลยออกมาอย่างที่เป็นอยู่” นายณัฐพงษ์ กล่าว
ส่วนในแง่การบริหารประเทศ การได้นายทักษิณกลับมาอีกครั้ง ดูเผิน ๆ เหมือนไทยกำลังจะได้ผู้นำแพ็กคู่ คนหนึ่งดูดีมีประสบการณ์ เดินสายทำงานนอกทำเนียบฯ โชว์วิชั่นใหม่แทบทุกเวที ส่วนอีกคนอยู่ในตำแหน่งทำงานในทำเนียบฯ เป็นคนรุ่นใหม่พร้อมประสานงานกับคนรุ่นเก่า ในความจริง คือ เรากำลังมีผู้นำนอกระบบ เป็นคนชี้นำวาระ ให้ข้อมูล นโยบายนำหน้ารัฐบาล โดยปราศจากความรับผิดชอบใด ๆ เพราะไม่ต้องถูกตรวจสอบ
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า คนที่นั่งอยู่ในระบบ แทนที่จะเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ แต่ขาดทั้งความรู้ ความสามารถ วุฒิภาวะ และขาดเจตจำนงทางการเมือง โดยตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา ยังไม่เห็นการผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหาของนายกฯ เมื่อรวมผู้นำนอกระบบและผู้นำในระบบแล้ว ประเทศไทยเสีย 2 ต่อ เพราะมีแต่คนที่กำหนดวาระลอยตัว ไม่รับผิดชอบ และคนที่ถืออำนาจรัฐที่ขาดคุณสมบัติ
“อยากให้นายกฯ ตระหนักรู้เสมอว่า การกระทำของทุกท่าน ส่งผลต่อการเชื่อมั่นของประชาชน จะทำตัวแบบนายกฯ ที่มาจากการปฎิวัติรัฐประหาร มองการเมืองในสภาฯ เป็นเพียงแค่เรื่องน่ารำคาญ มองวาระในสภาฯ เปรียบเสมือนก้อนกรวดในรองเท้า มองนักการเมือง สส. ในสภาฯ เป็นเพียงจำนวนในการจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้” ผู้นำฝ่ายค้าน ระบุ
ทั้งนี้ หาก น.ส.แพทองธาร ยังนั่งเป็นนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยจะต้องแลกด้วยหลายต้นทุนที่ประเทศนี้ต้องเสียไป จากดีลแลกประเทศ ได้แก่
1. ค่าไฟแพง นายกฯ นอกระบบเอื้อประโยชน์ คุยกับกลุ่มทุนใกล้ชิดด้านพลังงาน
2. ที่ดิน เรื่องสัมปทานกับนายทุน แต่รัฐบาลกลับดีลกันกับสองพรรคร่วมรัฐบาล เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกรณีที่ดินหลาย 1,000 ล้านบาท
3. ประชาชนหมดหวังกับรัฐบาลชุดนี้ ในการปฎิรูปกองทัพ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร
4. ความยุติธรรม พี่น้องสามจังหวัดชายแดนใต้รอคำตอบเรื่องการเดินหน้ากระบวนการสันติภาพ ความเป็นธรรมในคดีตากใบ ขณะที่นายกฯ ตัวจริงนอกระบบกลับได้รับสิทธิอยู่ชั้น 14
“นายกฯ ไม่สามารถควบคุมเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลได้ เพราะพรรคร่วมมีเสียง สว.ในมือ ไม่อยากแก้รัฐธรรมนูญ ปัญหา PM 2.5 ปัญหาฝุ่น ปัญหาการค้าโลก เศรษฐกิจไทยโตรั้งท้ายในกลุ่มอาเซียน ต้นทุนในการใช้ชีวิตสูงขึ้น คุณภาพชีวิตของทุกคนแย่ลง ลำพังการแจกเงิน และการสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพลกซ์ คงไม่สามารถกู้วิกฤติให้ประเทศได้ เงินหมื่นที่แจกไป ไม่ได้สร้างการเติบโตให้เศรษฐกิจไทย เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพลกซ์ มองเห็นชัด ๆ ล่วงหน้าว่ามีผู้ได้รับผลประโยชน์เพียงไม่กี่กลุ่ม นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยต้องเสียโอกาสกับการที่มีรัฐบาลคิดไปทำไป หาทางซื้อคะแนนเสียงไปวัน ๆ” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ดีลแลกประเทศในครั้งนี้ มีเพียงคนไม่ถึง 1% ที่ได้ประโยชน์ แม้จะต้องทำลายล้างระบบนิติรัฐ ระบบนิติธรรม หรือกระบวนการประชาธิปไตยในประเทศ ตลอดจนยอมให้ประเทศถูกแช่แข็ง เศรษฐกิจล้าหลัง ทิ้งซากปรักหักพังให้คน 99% ในประเทศ ซึ่งมีความเหลื่อมล้ำทุกมิติ และปัญหาสำคัญ ๆ ไม่ได้รับการแก้ไข เราจะต้องแลกหรือเสียอะไรไปอีกเท่าไหร่กับการที่มีน.ส.แพทองธาร เป็นนายกฯ อยู่ต่อไป
สิ่งที่เราได้รับ คือ ทำให้เราอ่อนแอลง ไม่กล้าหวัง ไม่กล้าฝัน กับอนาคตที่ดีกว่า ภายใต้รัฐบาลชุดนี้ที่เกิดจากดีลแลกประเทศ ไม่มีแล้ว 2 ก๊ก 3 ก๊ก เหลือก๊กเดียว คือ พรรคร่วมคณะรัฐประหารที่กลายเป็นพวกเดียวกัน ดังนั้น ตนในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน จึงไม่อาจไว้วางใจน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้อีกต่อไป
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (24 มี.ค. 68)
Tags: ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ, นายกรัฐมนตรี, ฝ่ายค้าน, พรรคประชาชน, อภิปรายไม่ไว้วางใจ, แพทองธาร ชินวัตร