
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ อดีตกรรมการและกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตัวเลขหนี้ครัวเรือนล่าสุด (ไตรมาส 3 ปี 2567) อยู่ที่ 16.34 ล้านล้านบาท สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ระดับ 89% แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงจากระดับที่เคยสูงกว่า 90% ในช่วงโควิด แต่หนี้ครัวเรือนที่ระดับ 89% ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่เกิดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม และแนวโน้มของหนี้เสีย 1.2 ล้านล้านบาท อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก
โดยสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคล เป็นหนี้เสียมากที่สุด คิดเป็น 23.35% ของสินเชื่อรวม ต้องดึงสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลงมา จากระดับ 89% ให้มาอยู่ที่ 80% เท่ากับว่าต้องเพิ่มรายได้โดยรวมอีกอย่างน้อย 1.63 ล้านล้านบาท จึงจะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนโดยภาพรวมได้
นายอนุสรณ์ เห็นวา มาตรการซื้อหนี้มาบริหาร ต้องปล่อยให้กลไกตลาดในตลาดการเงินทำงาน รัฐบาลจะเข้าแทรกแซงก็ต่อเมื่อกลไกตลาดล้มเหลว หากใช้เงินสาธารณะดูแล ต้องมีกลไกและแนวทางชัดเจนในการทำอย่างไรไม่ให้เกิด Moral Hazard ในระบบการเงิน และส่งเสริมวินัยทางการเงินของครัวเรือน
“สิ่งที่รัฐบาลต้องทำมากที่สุด คือ ทำอย่างไรให้จีดีพีโตขึ้นเร็วที่สุด รายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นมากพอที่จะชำระหนี้ได้ด้วยตัวเอง การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ๆ ปฏิรูปขีดความสามารถในการแข่งขัน กระจายรายได้ให้เป็นธรรม เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มเงินเดือนขั้นต่ำ เป็นสิ่งที่ช่วยให้แก้ปัญหาครบทุกมิติ คือ หนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะ หนี้ภาคเอกชน” นายอนุสรณ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า หนี้ครัวเรือนไทยชะลอตัวลงตั้งแต่ปี 2565 อัตราสินเชื่อเติบโตต่ำลงจากหนี้รถหดตัว สินเชื่อบ้านโตต่ำ แต่หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคยังขยายตัว สะท้อนว่าครัวเรือนส่วนใหญ่ ยังกู้เงินเพื่อไปเสริมสภาพคล่องในการดำเนินชีวิตประจำวัน ไม่ได้ก่อหนี้ก้อนใหญ่เพื่อซื้อทรัพย์สินแต่อย่างใด ครัวเรือนในแต่ละระดับรายได้ มีความสามารถในการรับมือกับภาระหนี้แตกต่างกันไป หนี้ครัวเรือนที่เป็นหนี้เสีย 1.2 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหนี้เสียจากครัวเรือนรายได้น้อย
“คนไทยมีหนี้ครัวเรือนบวกหนี้สาธารณะเฉลี่ยมากกว่า 400,000 บาท/คน แก้หนี้ต้องกระจายรายได้และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้เป็นธรรม สร้างโอกาสทำงานรายได้สูง ซื้อหนี้เพียงบรรเทาและย้ายเจ้าหนี้เท่านั้น ควรปล่อยกลไกตลาดการเงินทำงาน หากจำเป็นถึงแทรกแซงโดยเงินสาธารณะ และต้องมุ่งไปที่กลุ่มคนรายได้น้อยสุดที่อยู่ในกับดักของหนี้สิน อาจต้องใช้วิธีลดหนี้ หรือยกเลิกหนี้ให้ รัฐบาลอาจใช้มาตรการลดหย่อนภาษี เป็นแรงจูงใจให้กลไกตลาดในตลาดซื้อขายหนี้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นก็ได้” คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.หอการค้าไทย ระบุ
ช่วงที่ผ่านมา หนี้ครัวเรือนจำนวนหนึ่ง ได้ถูกแปลงเป็นหนี้สาธารณะผ่านมาตรการเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมทั้งการแจกเงินเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยมาตรการเศรษฐกิจต่าง ๆ และมาตรการการแจกเงิน รัฐบาลต้องไปก่อหนี้สาธารณะกู้เงินมา การดำเนินงานเหล่านี้เป็นผลทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 90% และหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดว่าหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอาจจะแตะระดับ 70% ในปี 72 จากขณะนี้อยู่ที่ 64.13%
นายอนุสรณ์ ชี้ว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่ระดับ 89% ปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัทที่ก่อหนี้เกินตัวที่อาจปะทุขึ้นในอนาคต บวกกับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีที่ระดับ 64.13% (ณ เดือนม.ค.68) คิดเป็นมูลค่าหนี้สาธารณะ 11.95 ล้านล้านบาท หนี้ทั้งสามมิตินี้ ประกอบไปด้วย หนี้ครัวเรือน หนี้เอกชน หนี้สาธารณะ อาจจะกดทับต่ออัตราการขยายเศรษฐกิจไทยในระยะ 2 ปีข้างหน้า อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่เริ่มคลายตัวลง ทำให้สถานการณ์หนี้สินกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย
หนี้ครัวเรือนเป็นหนี้นอกระบบสูงกว่า 20% นั้น ต้องแก้ไขโดยการยกเลิกเพดานอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบ เพื่อให้เงินกู้นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น การดำเนินมาตรการและนโยบายกำหนดเพดานดอกเบี้ยในระบบช่วงที่ผ่านมา ดูเหมือนเป็นความพยายามแก้ปัญหาความเดือดร้อนจากภาวะดอกเบี้ยลอยตัว แต่ได้สร้างปัญหาให้กับครัวเรือนและประชาชนจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ เนื่องจากสถาบันการเงินในระบบไม่ยอมปล่อยสินเชื่อ หรือเงินกู้ให้กับผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูงด้วยอัตราดอกเบี้ยเพดานตามที่ทางการกำหนด
“การแก้ปัญหาการคิดอัตราดอกเบี้ยสูงเกินไปของสถาบันการเงินในระบบ แก้ด้วยการเปิดเสรีให้มีการแข่งขันมากขึ้น ไม่ใช่กำหนดเพดาน ทำให้อัตราดอกเบี้ยไม่สะท้อนความเสี่ยงของผู้กู้ การกำหนดเพดานดอกเบี้ยในระบบ จึงกลายเป็นการผลักหนี้นอกระบบเพิ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ การเปิดเสรี Virtual Bank และการให้บริการของ Virtual Bank เปิดใหม่ จะทำให้ประโยชน์ต่อประชาชนผู้ใช้บริการทางการเงินเพิ่มขึ้น” นายอนุสรณ์ กล่าว
พร้อมเห็นว่า มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ ยืดการชำระหนี้ให้ยาวขึ้น ลดดอกเบี้ย จนถึงพักหนี้ที่ทำกันมาเกือบทุกรัฐบาล ก็ทำได้เพียงแค่บรรเทาปัญหาวิกฤติหนี้สินครัวเรือน แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่รากฐานแห่งการเป็นหนี้ นอกจากนี้ หากดำเนินการอย่างไม่รัดกุมและเลือกใช้มาตรการพักหนี้บ่อย ๆ จะทำให้เกิดจริยวิบัติ (Moral Hazard) ในระบบการเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ และจะสะสมความเสี่ยงของการเกิดวิกฤติระบบสถาบันการเงินในอนาคตได้
มาตรการแก้ไขหนี้สินนั้น ต้องกระจายรายได้และกระจายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้เป็นธรรม สร้างโอกาสการทำงานด้วยรายได้สูงให้กับประชาชน ธุรกิจอุตสาหกรรมต้องสามารถเพิ่มมูลค่าด้วยความรู้และนวัตกรรม แปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีราคา และมูลค่าสูงขึ้น การปรับลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมายของสถาบันการเงิน ผ่อนกฎเกณฑ์การตั้งสำรองหนี้เสีย หรือหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้กับธนาคาร ลดหย่อนภาษีการขายหรือโอนทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงิน อาจมีความจำเป็นในระยะต่อไป หากปัญหาการไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อ และปัญหาหนี้สินไม่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างชัดเจน
“ระบบการเงินไทยโดยภาพรวม ยังคงมีเสถียรภาพ ไม่มีสัญญาณฟองสบู่ใด ๆ มีปัญหาคุณภาพสินเชื่อด้อยลงบ้าง ไม่มีการเก็งกำไรเกินขนาด ฉะนั้น มาตรการการเงินและนโยบายการเงิน ยังสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้อีก เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น”
นายอนุสรณ์ กล่าวในท้ายสุด
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 มี.ค. 68)
Tags: ซื้อหนี้ประชาชน, อนุสรณ์ ธรรมใจ, เศรษฐกิจไทย