LTMH เคาะราคาขาย IPO หุ้นละ 5 บาท P/E 28.24 เท่า เปิดจอง 25-27 มี.ค.

บมจ.แอลทีเอ็มเอช [LTMH] กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 50,000,000 หุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯในครั้งนี้ ในราคาหุ้นละ 5.00 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อวันที่ 25-27 มีนาคม 2568 และมีแผนจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดบริการ (SERVICE)

วัตถุประสงค์ของการใช้เงิน เพื่อใช้สำหรับการขยายการดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง (WealthTech) 43 ล้านบาท ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่กู้ยืมมาลงทุนในหุ้น บลจ.ทาลิส 25 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 165.80 ล้านบาท

การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัทฯ (Price to Earnings Ratio : P/E Ratio) ทั้งนี้ ราคาหุ้นละ 5.00 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) เท่ากับ 21.18 เท่า คำนวณจากผลประกอบการในรอบ 4 ไตรมาสล่าสุด ตังแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที 31 ธันวาคม 2567 ซึ่งมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่เท่ากับ 35.42 ล้านบาท เมื่อหารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วก่อนการเสนอขายหุ้นในครั้งนี่เท่ากับ 150 ล้านหุ้น จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.24 บาท

และคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio : P/E) เท่ากับ 28.24 เท่า และเมื่อคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทฯ ในรอบ 4 ไตรมาสทีผ่านมา หารด้วยจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนีเท่ากับ 200 ล้านหุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.18 บาท

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน LTMH เปิดเผยว่า LTMH แต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO พร้อมกับ ผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 3 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน)

ราคา IPO ดังกล่าว ถือเป็นระดับที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน และสอดคล้องกับสภาวะของตลาดหลักทรัพย์ในปัจจุบัน LTMH ถือเป็นธุรกิจสื่อออนไลน์ที่แข็งแกร่ง เป็นที่ยอมรับ และมีการเติบโตที่โดดเด่น Brand LTMH เริ่มต้นจากการสร้างเพจ Facebook ภายใต้ชื่อ “ลงทุนแมน” และต่อมาได้ขยายเพิ่มอีก 5 เพจ ประกอบด้วย ลงทุนเกิร์ล, MarketThink, Brandcase, Money Lab และ Mao-Investor ครอบคลุม เข้าถึง และตอบสนองกลุ่มลูกค้าและผู้ติดตามได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น จาก 4.87 ล้านคน ในปี 2564 เพิ่มเป็น 8.32 ล้านคน ณ สิ้นปี 2567 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 19.61% ในช่วงปี 2564 -2567 ทำให้ LTMH ถือเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ด้านการเงิน และการลงทุน ที่มีความน่าเชื่อถือ และมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นและการตัดสินใจของผู้ติดตามจำนวนมาก

นอกจากนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือกลุ่มครอบครัวนายธณัฐ เตชะเลิศ และผู้ถือหุ้นเดิมรายอื่นอีก 4 ราย ยังได้สมัครใจทำข้อตกลงไม่จำหน่ายหุ้นในส่วนที่เหลือจากการติด Silent Period ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นเวลา 6 เดือนตั้งแต่วันที่เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมส่วนที่เหลือที่ไม่ติด Lock up จะมีจำนวนเพียง 4.03 ล้านหุ้น คิดเป็นเพียงร้อยละ 2.02 ของจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายหุ้นเท่านั้น

นายธณัฐ เตชะเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LTMH เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ เป็นอีกก้าวสำคัญที่จะสร้างให้ LTMH เติบโตอย่างยั่งยืน โดยการระดมทุน 250 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อขยายธุรกิจ WealthTech ภายใต้แบรนด์ “WealthX” ที่จะช่วยให้คนไทยสามารถยกระดับทางการเงิน การลงทุนได้มากขึ้นในอนาคต ในเบื้องต้นเราได้ยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2568 คาดว่าจะเริ่มดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ได้ภายในปี 2568

นอกจากนี้ การระดมทุนยังมีวัตถุประสงค์เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่ใช้ลงทุนในหุ้น บลจ.ทาลิส รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ และบริษัทย่อย เชื่อมั่นว่าสิ่งที่จะทำให้ LTMH ประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจครั้งนี้มาจาก “จุดแข็งสำคัญ” ที่เรามีอยู่ทั้งชื่อเสียงของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การมีสื่อออนไลน์และช่องทางการติดตามที่หลากหลาย รวมถึงการมีแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ที่เป็นของเราเอง และระบบ Ecosystem ที่เกื้อหนุนกันรวมถึงทีมผู้บริหารและบุคลากรที่มีความสามารถและประสบการณ์ในอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน

ผลประกอบการระหว่างปี 64-67 รายได้รวมของบริษัทเท่ากับ 118.06 ล้านบาท 173.90 ล้านบาท 225.77 ล้านบาท และ 231.72 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ได้ถึง 25.20% รวมถึงในปี 2567 บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 50.55% และมีอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 15.23% แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรที่สูง

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (21 มี.ค. 68)

Tags: , , ,
Back to Top