
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) (UOBAM) เปิดเผยว่า ในปี 68 บลจ.ยูโอบีตั้งเป้า มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) เติบโต 10-15% มากกว่าอุตสาหกรรมกองทุนรวมที่คาดโต 10% โดยเน้นนักลงทุนสถาบัน หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่มีแนวโน้มเติบโต รวมทั้งธุรกิจกองทุนรวม (Mutual Fund) จะมีการออกกองทุนใหม่ ๆ ให้หลากหลายมากขึ้น โฟกัสไปกองตราสารหนี้ ตลาดเงิน เป็นต้น
ในปี 67 มี AUM (ณ ธ.ค.67) อยู่ที่ 273,000 ล้านบาท เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปี 66 สอดคล้องกับการเติบโตของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในไทย อยู่อันดับที่ 10 จาก 23 บริษัทในธุรกิจจัดการกองทุน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าสถาบันที่มีเม็ดเงินเข้ามาเพิ่มถึง 13,000 ล้านบาท ซึ่ง บลจ.ยูโอบี เข้าบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT), ธนาคารออมสิน (GSB) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ซึ่งจดทะเบียนแล้ว (กสจ.) ทำให้ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเติบโตขึ้นเป็นอันดับที่ 6 จาก 17 บลจ. ซึ่งเป็นการเติบโตที่ปรับขึ้นจากอันดับที่ 8 เมื่อปีที่แล้ว (ที่มา : AIMC ธ.ค.67)
นายวนา ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวทางกลยุทธ์ในปี 68 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบแบบองค์รวม (One-stop advisory services) เพื่อตอบโจทย์การลงทุนของลูกค้าให้เหมาะสมตามวัตถุประสงค์การลงทุน (Customer is Centric) ด้วยจุดแข็งจากความร่วมมือกันภายใต้ UOB Group ในไทยรวมไปถึงเครือข่ายในภูมิภาคเอเชีย และพันธมิตรการลงทุนระดับสากล การนำเอาปัจจัย ESG เข้ามาใช้จริงในทุกขั้นตอนการลงทุน โดยกลุ่มลูกค้าสถาบัน จะเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์การเงินแบบองค์รวม มุ่งหวังตอบโจทย์ครอบคลุม ที่ไม่ได้จำกัดเพียงแต่การจัดการลงทุนเท่านั้น (Beyond Investment) และสำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย เน้นการนำเสนอการลงทุนที่เหมาะสมกับแต่ละภาวะตลาด โดยในแผนงานปี 68 นี้จะจัดให้มีกองทุน Term Fund นำเสนออย่างต่อเนื่องในทุกเดือน และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ ๆ ทั้งกองทุนในรูปแบบสกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ, ตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit), กองทุนที่ตอบโจทย์แผนการเกษียณ (Retirement Solution) เป็นต้น เพื่อนำเสนอทางเลือกการลงทุนที่หลากหลาย กระจายความเสี่ยงในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มั่นคงในระยะยาว พร้อมทั้งพัฒนาระบบและเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่าย สะดวกมากขึ้น
ให้เป้า SET ปีนี้ที่ 1,295 จุด
นางสาววรรณจันทร์ อึ้งถาวร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายการลงทุน บลจ.ยูโอบี ให้เป้าหมายดัชนี SET ในปีนี้ที่ 1,295 จุด กำไรต่อหุ้น 95 บาท/หุ้น โดยอาจมี upside ที่ 1,386 จุด แต่ downside หลุด 1,000 จุด ที่ 969 จุด โดยมองว่าปัจจุบัน downside ไม่น่าจะจำกัด Fund Flow น่าจะหยุดไหลออก แรงขายกองทุน LTF น่าจะชะลอหลังมีกองทุน Thai ESGX เข้ามารองรับ แต่คาดว่าคงย้ายออกไปไม่หมด ซึ่งสองปัจจัยนี้น่าจะค้ำ downside ตลาด รวมถึงช่วงนี้เป็นช่วงจ่ายเงินปันผล ซึ่งหุ้นมี Valuation ต่ำ ทำให้ผลตอบแทนดีขึ้น

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังเจอความท้าทายปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงอยู่ และมองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะลดดอกเบี้ยอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยแน่จึงเป็นโอกาสลงทุนตราสารหนี้ แนะนำกลุ่มแบงก์ โรงพยาบาล กลุ่มได้ประโยชน์จากการกระตุ้นการใช้จ่าย อสังหาริมทรัพย์เน้นกลุ่มคอนโดฯ ที่รับประโยชน์ที่ผ่อนคลาย LTV
ส่วนเศรษฐกิจโลกในปี 67 ที่ผ่านมาเติบโตที่ 3.20% และคาดการณ์จะว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ระดับ 3.00% ในปีนี้ (ที่มา : Bloomberg Analyst Consensus as of 11 February 2025) ทิศทางของอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกเริ่มมีแนวโน้มที่จะปรับสูงขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีการค้าจากนโยบายของสหรัฐฯ แต่อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจในหลาย ๆ ภูมิภาคยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม จึงทำให้โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญนั้นมีค่อนข้างน้อย
ทั้งนี้ บลจ.ยูโอบี คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะยังคงเติบโตต่อเนื่องได้ เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับปานกลาง และมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ ซึ่งน่าจะเป็นสภาวะที่ดีสำหรับการลงทุน การปรับขึ้นภาษีการค้าน่าจะเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการต่อรองมากกว่าจะเป็นการตั้งใจสร้างสงครามทางการค้า ทั้งนี้ คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มปรับลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งในปีนี้ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของหลาย ๆ ประเทศที่เป็นผู้นำเศรษฐกิจโลก จะยังเป็นปัจจัยเสริมต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
บลจ.ยูโอบี มีมุมมองว่าตลาดหุ้นจะยังน่าสนใจ ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากตัวเลขภาคการบริโภคที่ดีของสหรัฐฯ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศจีนที่มีเสถียรภาพมากขึ้น รวมไปถึงเศรษฐกิจของตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่เริ่มจะมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มภูมิภาคเอเชีย โดยคาดว่าตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะสหรัฐฯ จะยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในปีนี้ ด้วยปัจจัยสนับสนุนอัตราการเติบโตของผลกำไรบริษัทและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงหลักของตลาดหุ้นทั่วโลกในปีนี้ คือ นโยบายการขึ้นภาษีการค้าและการตรวจสอบคนเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายของฝั่งประเทศสหรัฐฯ ที่มีโอกาสจะทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับสูงขึ้นอีกครั้งในอนาคต ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก และทำให้ตลาดหุ้นเผชิญกับความผันผวนได้
ดังนั้น บลจ.ยูโอบี แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนไปยัง หุ้น และลดน้ำหนักการลงทุนมาสู่ระดับน้อยถึงปานกลางสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ และควรกระจายการลงทุนไปยังหลากหลายสินทรัพย์ควบคู่กันไปด้วย โดยตลาดหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นยุโรป
สำหรับกองทุน LTF ที่บลจ.ยูโอบีบริหารมีอยู่ 1.8 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าลูกค้าจะโยกเข้ากองทุน Thai ESGX ประมาณ 50% ที่ต้องการลงทุนหุ้นไทยและต้องการใช้สิทธิทางภาษี ทั้งนี้บลจ.ยูโอบีเตรียมออกองุทนใหม่ Thai ESGX 2 กอง เป็นกองทุนที่ลงทุนตลาดหุ้นไทย อีกกองลงทุนตลาดหุ้นและตราสารหนี้ 70/30
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 มี.ค. 68)
Tags: UOBAM, บลจ.ยูโอบี, วนา พูลผล