
เจ้าหน้าที่ระดับสูงระบุเมื่อวันจันทร์ (10 มี.ค.) ว่า รัฐมนตรีคลังของยูโรโซนกังวลว่าการเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ที่หันมาสนับสนุนคริปโทเคอร์เรนซีอาจกระทบต่ออธิปไตยทางการเงินและเสถียรภาพทางการเงินของยูโรโซน
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ซึ่งให้คำมั่นว่าจะเป็น “ประธานาธิบดีคริปโทฯ” ในการหาเสียงนั้น ได้ลงนามในคำสั่งบริหารเพื่อจัดตั้งกองทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์ของคริปโทฯ โดยใช้โทเคนที่รัฐบาลครอบครองอยู่แล้ว ซึ่งเป็นการเปลี่ยนนโยบายจากรัฐบาลชุดก่อน
“การพัฒนานโยบายในประเทศอื่นอาจส่งผลกระทบที่สำคัญต่อยุโรป” พาสคาล โดโนโฮ รัฐมนตรีคลังของไอร์แลนด์และประธานที่ประชุมรัฐมนตรีคลังของยูโรโซนกล่าวในการแถลงข่าว หลังจากที่รัฐมนตรีคลังได้หารือเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านคริปโทฯ ของสหรัฐฯ
“การหารือนี้มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับอำนาจอธิปไตยของเราเอง และความสามารถในการรับมือของสกุลเงินของเรา” เขากล่าว พร้อมเสริมว่า การพัฒนาสกุลเงินยูโรดิจิทัลโดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความเป็นผู้นำ
ECB ได้เริ่มพัฒนายูโรดิจิทัลตั้งแต่ปี 2563 หลังจากที่เฟซบุ๊ก (Facebook) ประกาศในปีก่อนหน้านั้นว่า ต้องการเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลของตนเองชื่อลิบรา (Libra) ซึ่งทำให้หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ และยุโรปเกิดความกังวล
โครงการลิบราต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเดียม (Diem) และยุติลงในช่วงต้นปี 2565 อย่างไรก็ตาม ปิแอร์ กราเมญญา ผู้อำนวยการกองทุนกลไกเสถียรภาพยุโรป (European Stability Mechanism) กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การสนับสนุนคริปโทฯ ของสหรัฐฯ อาจกระตุ้นให้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เปิดตัวระบบชำระเงินของตนอีกครั้ง
“การหารือในครั้งนี้เน้นย้ำว่า ประเด็นสำคัญที่เป็นเดิมพันคืออำนาจอธิปไตยของยุโรป” กราเมญญากล่าว
“จุดยืนของรัฐบาลสหรัฐฯ ในเรื่องนี้ได้เปลี่ยนไปจากอดีต โดยขณะนี้สหรัฐฯ สนับสนุนคริปโทฯ โดยเฉพาะสเตเบิลคอยน์ที่อิงกับดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความกังวลในยุโรปว่า บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ และต่างชาติ อาจรื้อฟื้นแผนการพัฒนาระบบชำระเงินขนาดใหญ่ที่ใช้สเตเบิลคอยน์ที่อิงกับดอลลาร์สหรัฐ” เขากล่าว
“หากเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ ก็อาจส่งผลกระทบต่ออธิปไตยทางการเงินและเสถียรภาพทางการเงินของยูโรโซน” เขาระบุเสริม
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 มี.ค. 68)