
น.ส.ณหทัย ทิวไผ่งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความก้าวหน้าของโครงการสนับสนุนการจัดตั้ง “Sectoral CERT” ด้านขนส่งและโลจิสติกส์ และด้านพลังงาน โดยมีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยความร่วมมือด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และ สำนักงานปลัดกระทรวงคมนาคม (สปค.)
โดยระบุว่า ความร่วมมือครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการปกป้องโครงสร้างพื้นฐานของประเทศจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีความซับซ้อน และรุนแรงมากขึ้นในยุคดิจิทัล พร้อมเสริมสร้างศักยภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สามารถรับมือกับความเสี่ยงด้านไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“การคมนาคมขนส่ง เป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของประเทศ หากระบบขนส่งได้รับผลกระทบจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ อาจสร้างความเสียหายทั้งในด้านความปลอดภัยของประชาชน และเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้น การพัฒนาแนวทางป้องกันและรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ในภาคคมนาคม จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญ เพื่อสร้างกลไกป้องกันภัยคุกคามที่แข็งแกร่ง และให้ประชาชนสามารถใช้บริการขนส่งได้อย่างมั่นใจ และปลอดภัย” น.ส.ณหทัย กล่าว
พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพัฒนาแนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านภัยคุกคามไซเบอร์ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ตลอดจนการเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรให้พร้อมรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เพื่อลดความเสี่ยงของการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ
นายวิทยา ยาม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคม ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ต่อระบบขนส่งของประเทศ ปัจจุบัน ระบบควบคุมการเดินรถ ระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ และโครงข่ายการสื่อสารของโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ล้วนต้องพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบายให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ก็มาพร้อมกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยของระบบขนส่งและความต่อเนื่องของบริการสาธารณะ
“ความร่วมมือกับ สกมช. ในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรการเฝ้าระวังและป้องกันภัยไซเบอร์ ตลอดจนพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากร ให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและภาคธุรกิจในการใช้ระบบขนส่งได้อย่างปลอดภัย” นายวิทยา ระบุ
พลอากาศตรี อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) กล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ การลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างมาตรการป้องกันและรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบขนส่ง ความปลอดภัยของประชาชน และความมั่นคงของประเทศ อีกทั้งยังเป็นการยกระดับความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน เพื่อพัฒนาแนวทางการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และการให้บริการด้านคมนาคมที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับประชาชน
ปัจจุบัน ระบบขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม มีการพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น ตั้งแต่ระบบควบคุมการเดินรถ ระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ โครงข่ายการสื่อสารของโครงสร้างพื้นฐาน ไปจนถึงระบบขนส่งอัจฉริยะ (ITS) ที่นำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกสบายให้กับประชาชน
อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีเหล่านี้ ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน หากเกิดการโจมตีทางไซเบอร์ในระบบขนส่ง อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งในแง่ของความปลอดภัยของประชาชน การให้บริการขนส่งที่ต่อเนื่อง และเสถียรภาพของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ
“เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ต้องเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้น ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์จึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญลำดับแรก” พลอากาศตรี อมร กล่าว
ภายใต้ความร่วมมือนี้ สกมช. จะทำงานร่วมกับกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาแนวทางป้องกันและตอบโต้ภัยคุกคามทางไซเบอร์อย่างเป็นระบบ รวมถึงจัดทำมาตรฐานและแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมมีความมั่นคงปลอดภัย พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และการพัฒนาระบบขนส่งอัจฉริยะในอนาคต
นอกจากนี้ สกมช. และกระทรวงคมนาคม ยังได้วางแผนร่วมกันในการพัฒนากำลังคนเฉพาะทางด้านไซเบอร์สำหรับภาคคมนาคม ผ่านโครงการฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถเฝ้าระวัง วิเคราะห์ และตอบสนองต่อภัยคุกคามไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นก้าวสำคัญในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ และสร้างระบบขนส่งที่มั่นคงปลอดภัยสำหรับอนาคต การเติบโตของเทคโนโลยีเหล่านี้ มาพร้อมกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งความปลอดภัยของระบบ และข้อมูลที่สำคัญ
“ความท้าทายที่สำคัญในปัจจุบัน คือการบูรณาการระบบเทคโนโลยีปฏิบัติการ (OT) กับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีแบบดั้งเดิม ทำให้เกิดช่องโหว่ที่อาจถูกโจมตีได้ง่ายขึ้น ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงการพัฒนาแนวทางป้องกันที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนเพื่อให้ประเทศไทย สามารถรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล” เลขาธิการ สกมช. กล่าว
พร้อมระบุว่า โครงการสนับสนุนการจัดตั้ง Sectoral CERT ด้านขนส่งและโลจิสติกส์ และด้านพลังงาน จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศในภาคขนส่ง โลจิสติกส์ และพลังงาน มีเป้าหมายในการช่วยเฝ้าระวัง ตรวจจับ รับมือ ป้องกัน แจ้งเตือน และบรรเทาสถานการณ์จากภัยคุกคามใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละภาคส่วน ทั้งในแง่ของการจัดการกับช่องโหว่ และการตรวจสอบประมวลผลหลังเกิดเหตุ โดยวัตถุประสงค์ของโครงการคือ การพัฒนาระบบป้องกัน ตรวจจับ วิเคราะห์ และโต้ตอบภัยคุกคามไซเบอร์ โดยเตรียมความพร้อมในการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินในระบบคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานในภาคขนส่ง โลจิสติกส์ และพลังงาน
พร้อมทั้งการสร้างทีมบุคลากร และศูนย์ประสานงานเฉพาะที่มีศักยภาพในการติดต่อ ประสานงาน และรับมือภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการรับแจ้งเตือนภัยคุกคาม พร้อมทั้งให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติที่เหมาะสมแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ พาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์ ได้เข้ามาสนับสนุนโซลูชั่นในโครงการ Sectoral CERT ประกอบด้วย ระบบไฟร์วอลล์ ในการป้องกันภัยไซเบอร์ โซลูชั่น XDR, และ Cortex XSOAR ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยลดเวลาเฉลี่ยในการตรวจจับ (MTTD) และเวลาในการตอบสนองเฉลี่ย (MTTR) และสามารถทำได้อย่างอัตโนมัติ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญสำหรับทีมรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะในระบบขนส่ง ซึ่งจำเป็นต้องรายงานผลได้อย่างทันท่วงที
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 มี.ค. 68)
Tags: Sectoral CERT, กระทรวงคมนาคม, ขนส่ง, ณหทัย ทิวไผ่งาม, พลังงาน, ภัยไซเบอร์, วิทยา ยาม่วง, โลจิสติกส์