รอยเตอร์ชี้ โลกเข้าสู่ยุคน้ำมันปาล์มแพง หลังอินโดฯ หั่นส่งออก-เร่งผลิตไบโอดีเซล

สำนักข่าวรอยเตอร์นำเสนอบทวิเคราะห์ในวันนี้ (10 มี.ค.) ว่า ราคาน้ำมันปรุงอาหารมีแนวโน้มพุ่งสูงต่อเนื่องในอีกหลายปีข้างหน้า เหตุผลสำคัญมาจากการผลิตที่ชะงักงันทั่วโลก ประกอบกับการที่อินโดนีเซีย ผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก หันมาเร่งผลิตไบโอดีเซล ส่งผลให้น้ำมันปาล์มที่เคยมีราคาถูกกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นมาโดยตลอด กลับมีราคาแพงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบสำคัญที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่การทำเค้ก น้ำมันทอด เครื่องสำอาง ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด โดยมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งของการขนส่งน้ำมันพืชทั่วโลก และได้รับความนิยมอย่างสูงในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะในอินเดีย

“ยุคของส่วนลด 400 ดอลลาร์ต่อตันได้จบลงแล้ว” โดราบ มิสทรี นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมชื่อดังและผู้อำนวยการบริษัท โกดเรจ อินเตอร์เนชั่นแนล (Godrej International) ของอินเดีย กล่าว พร้อมชี้ว่า หลังจากที่น้ำมันปาล์มราคาถูกมาหลายทศวรรษ เพราะผลผลิตล้นตลาดและการแย่งชิงส่วนแบ่ง แต่ตอนนี้ผลผลิตกำลังชะลอตัว ขณะที่อินโดนีเซียหันมาใช้น้ำมันปาล์มผลิตไบโอดีเซลมากขึ้น

“น้ำมันปาล์มจะไม่มีวันถูกเท่านี้อีกต่อไป ตราบใดที่อินโดนีเซียยังคงให้ความสำคัญกับไบโอดีเซล” โดราบ มิสทรี กล่าว

อินโดนีเซียเพิ่งเพิ่มสัดส่วนการผสมน้ำมันปาล์มในไบโอดีเซลเป็น 40% ในปีนี้ และมีแผนเพิ่มเป็น 50% ในปี 2569 รวมถึงเตรียมผสมในน้ำมันเครื่องบินไอพ่น 3% ในปีหน้า เพื่อลดการนำเข้าเชื้อเพลิง ส่งผลให้การส่งออกน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซียจะลดลงเหลือเพียง 20 ล้านเมตริกตันในปี 2573 จากปัจจุบัน 29.5 ล้านตัน ตามการคาดการณ์ของเอ็ดดี้ มาร์โตโน ประธาน GAPKI สมาคมน้ำมันปาล์มที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นโยบายไบโอดีเซลของอินโดนีเซีย ประกอบกับปัญหาน้ำท่วมในมาเลเซียที่กระทบการผลิต ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มพุ่งสูงกว่าน้ำมันถั่วเหลืองซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ ส่งผลให้ผู้ซื้อต้องลดปริมาณการสั่งซื้อลง โดยในอินเดีย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันพืชรายใหญ่ที่สุด น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) มีราคาสูงกว่าน้ำมันถั่วเหลืองดิบมาตลอด 6 เดือน บางช่วงสูงกว่าถึง 100 ดอลลาร์ต่อตัน ต่างจากช่วงปลายปี 2565 ที่น้ำมันปาล์มเคยขายถูกกว่าถึง 400 ดอลลาร์ต่อตัน

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ราคาน้ำมันปาล์มดิบในอินเดียอยู่ที่ 1,185 ดอลลาร์ต่อตัน เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปี 2562 ที่ต่ำกว่า 500 ดอลลาร์ต่อตัน

สถานการณ์ราคาน้ำมันพืชที่พุ่งสูงขึ้นนี้อาจส่งผลกระทบต่อการควบคุมเงินเฟ้อของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ทั้งประเทศที่พึ่งพาน้ำมันปาล์ม และประเทศที่ใช้น้ำมันพืชทางเลือกอื่น ๆ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน และน้ำมันเรพซีด

 

การเติบโตที่หยุดชะงัก: น้ำมันปาล์มกำลังเผชิญวิกฤตผลผลิต

การผลิตน้ำมันปาล์มโลก ซึ่งมีอินโดนีเซียและมาเลเซียเป็นผู้ผลิตหลัก เคยเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในทุกทศวรรษ ตั้งแต่ทศวรรษ 2520 ถึง 2560 แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูกก็ตาม ในช่วงเวลานั้น อัตราการเติบโตของผลผลิตสูงถึงกว่า 7% ต่อปี ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของตลาด

แต่สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อมาเลเซียประสบปัญหาผลผลิตหยุดชะงักมานานกว่า 10 ปี เนื่องจากไม่มีพื้นที่สำหรับขยายสวนปาล์มใหม่ และการปลูกทดแทนที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่อินโดนีเซียก็เผชิญการชะลอตัวของการเติบโต เพราะแรงกดดันเรื่องการตัดไม้ทำลายป่า นอกจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องการปลูกทดแทนของเกษตรกรรายย่อยที่ซบเซา ทั้งที่กลุ่มนี้ผลิตน้ำมันปาล์มถึง 40% ของอุปทานทั้งหมดในอินโดนีเซีย

ผลกระทบทั้งหมดนี้ทำให้การเติบโตของการผลิตน้ำมันปาล์มทั่วโลกลดลงเหลือเพียง 1% ต่อปีในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และตามการคาดการณ์ของโทมัส มีลเคอ นักวิเคราะห์และผู้อำนวยการบริหารของออยล์เวิลด์ (Oil World) บริษัทพยากรณ์ในฮัมบูร์ก ในทศวรรษนี้ การเติบโตของผลผลิตจะเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 1.3 ล้านตันต่อปี ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของค่าเฉลี่ย 2.9 ล้านตันในช่วงทศวรรษก่อนหน้าจนถึงปี 2563

มีลเคอยังเตือนว่า สถานการณ์อาจย่ำแย่ลงไปอีก เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนแรงงาน สวนปาล์มที่มีอายุมากขึ้น และการแพร่ระบาดของเชื้อรากาโนเดอร์มา (Ganoderma) ที่กำลังบั่นทอนผลผลิตอย่างต่อเนื่อง

 

เกษตรกรลังเลปลูกทดแทน เหตุต้องรอผลผลิตนาน

ปัญหาสำคัญของการปลูกปาล์มน้ำมันคือ ต้นปาล์มจะเริ่มให้ผลผลิตลดลงเมื่ออายุครบ 20 ปี และต้องโค่นทิ้งเพื่อปลูกใหม่เมื่ออายุ 25 ปี แต่ต้นปาล์มใหม่ต้องใช้เวลา 3-4 ปีกว่าจะเริ่มให้ผลผลิต ทำให้เกษตรกรต้องขาดรายได้ในช่วงนี้ จึงลังเลที่จะปลูกทดแทน

สถานการณ์นี้สะท้อนชัดในมาเลเซีย โดยโจฮารี อับดุล กานี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเพาะปลูก เปิดเผยว่า ในปี 2567 มีการปลูกทดแทนเพียง 114,000 เฮกตาร์ (282,000 เอเคอร์) หรือแค่ 2% ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4%-5% อย่างมาก

ส่วนในอินโดนีเซียนั้น ฟาดิล ฮาซัน เจ้าหน้าที่ของ GAPKI ระบุว่า การปลูกทดแทนที่ล่าช้าส่งผลให้ผลผลิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากสวนปาล์มมีอายุมากขึ้น โดยผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบต่อพื้นที่ลดลง 11.4% เหลือเพียง 3.42 ตันต่อเฮกตาร์ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา

แม้ว่าจะมีประเทศผู้ผลิตหน้าใหม่อย่างโคลอมเบีย เอกวาดอร์ โกตดิวัวร์ และไนจีเรีย ที่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันปาล์ม แต่เจ้าหน้าที่ในอุตสาหกรรมระบุว่า การเติบโตจากผู้ผลิตรายใหม่ยังไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเชื้อเพลิงชีวภาพ

ด้วยเหตุนี้ ทั้งมิสทรีและมีลเคอจึงเรียกร้องให้อินโดนีเซียพิจารณายกเลิกการระงับการออกใบอนุญาตสวนปาล์มใหม่ที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2561 โดยมิสทรีเตือนว่า “หากอินโดนีเซียยังคงระงับการปลูกใหม่ จะเกิดภาวะขาดแคลนเป็นระยะ ๆ และราคาน้ำมันปาล์มจะพุ่งสูงมาก” ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค 3-4 พันล้านคนในประเทศกำลังพัฒนา

สถานการณ์ราคาที่สูงขึ้นเริ่มส่งผลกระทบแล้ว โดยชาริแมน อัลวานี โมฮาเม็ด นอดิน ซีอีโอของบริษัท เอสดี กัทธรี อินเตอร์เนชั่นแนล (SD Guthrie International) รายงานในการประชุมอุตสาหกรรมเมื่อเดือนก.พ.ว่า ความต้องการในตลาดสำคัญเริ่มอ่อนตัวลง และแม้แต่ผู้ซื้อภาคอุตสาหกรรมก็กำลังมองหาวัตถุดิบทางเลือก

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมยังเชื่อว่า การบริโภคน้ำมันปาล์มจะเติบโตต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากความต้องการในอุตสาหกรรมเคมีและเชื้อเพลิงชีวภาพ ด้านฮาริช ฮาร์ลานี รองประธานบริษัท พีแอนด์จี เคมิคอลส์ (P&G Chemicals) มองว่า “เราเห็นความต้องการน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นอย่างมาก และด้วยข้อจำกัดด้านที่ดิน เราคาดว่าจะเกิดความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน”

สันจีฟ อัสถานา ซีอีโอของบริษัท ปตัญชลี ฟู้ดส์ (Patanjali Foods Ltd) ของอินเดีย ชี้ให้เห็นว่า ผลกระทบจะลุกลามไปถึงราคาน้ำมันพืชชนิดอื่นด้วย

“เมื่อผู้ซื้อหันไปใช้น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันดอกทานตะวันทดแทน ราคาของน้ำมันเหล่านี้ก็จะพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย” สันจีฟ อัสถานา กล่าว พร้อมเสริมว่า “ที่สำคัญคือ น้ำมันทางเลือกเหล่านี้มีปริมาณจำกัด จึงไม่สามารถเข้ามาทดแทนน้ำมันปาล์มได้อย่างสมบูรณ์”

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 มี.ค. 68)

Tags: , ,
Back to Top