
ไชน่า เฉิงซิน อินเตอร์เนชันแนล เครดิต เรตติ้ง (China Chengxin International Credit Rating) ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับเครดิตของจีน ได้ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย โดยอ้างเหตุอาชญากรรมหลายคดีที่ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของไทย รวมถึงความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
หนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ รายงานว่า บริษัทจัดอันดับเครดิตจีนได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทยจาก A- เป็น BBB+ ส่งผลให้ความเสี่ยงด้านเครดิตของไทยถูกจัดอยู่ในระดับ “ปกติ” จากเดิม “ต่ำ” ขณะที่สถานะทางเศรษฐกิจและการเงินถูกลดอันดับเป็น “พอใช้” จากเดิม “แข็งแกร่ง”
บริษัทจัดอันดับเครดิตแห่งนี้ซึ่งมีมูดี้ส์ เรทติ้งส์ (Moody’s Ratings) ถือหุ้นอยู่ด้วยนั้น ระบุว่า “เหตุอาชญากรรมข้ามชาติสะท้อนให้เห็นถึงจุดอ่อนระยะยาวของรัฐบาลไทยในการจัดการปัญหาอาชญากรรม” และเพิ่มเติมว่า “หากวิกฤตด้านความปลอดภัยยังคงมีอยู่ อาจส่งผลเสียต่ออนาคตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ”
รายงานข่าวระบุว่า จีนเป็นตลาดนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดของไทยในปีที่แล้ว โดยมีชาวจีนเดินทางมาเที่ยวไทยประมาณ 6.7 ล้านคน แต่เหตุการณ์ลักพาตัวนักแสดงชาวจีน หวัง ซิง โดยแก๊งค้ามนุษย์ที่มีเครือข่ายในไทยเมื่อเดือนม.ค. ได้สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาชาวจีน หลังจากข่าวดังกล่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วทางโซเชียลมีเดียช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีน
เหตุการณ์นี้ยังสร้างความกังวลให้นักลงทุนจีนหลายรายที่กำลังพิจารณาขยายธุรกิจมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ไชน่า เฉิงซิน ระบุในแถลงการณ์ด้วยว่า การปรับลดอันดับครั้งนี้ยังมีสาเหตุมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างช้านับตั้งแต่ที่เกิดโควิด-19 รวมถึงแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่ภาคการส่งออกและการผลิตของไทยกำลังเผชิญอยู่
ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจสร้างความเสียหายเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจไทย โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเพิ่งขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน 20% อาจเรียกเก็บภาษีจากประเทศอื่น ๆ ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระดับสูงด้วย ซึ่งไทยเองก็เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 4.56 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา
ไชน่า เฉิงซิน คาดการณ์ว่า หากสหรัฐฯ เดินหน้าเก็บภาษีสูงกับสินค้าส่งออกไทย และกลายเป็นแนวโน้มระยะยาว สิ่งนี้อาจกดดันการส่งออกของไทยและจำกัดการไหลเข้าของเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น “บ่อยครั้ง” ในรัฐบาลไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมายัง “ส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องเชิงนโยบาย” ด้วย
ทั้งนี้ ซง เสง วุน ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจจากบริษัทบริการทางการเงิน ซีจีเอส (CGS) ในสิงคโปร์ เปิดเผยว่า การปรับอันดับเครดิตของไทยจากไชน่า เฉิงซิน นั้นใกล้เคียงกับอันดับที่บริษัทจัดอันดับอื่น ๆ ให้ไว้ ซึ่งบ่งชี้ว่าไทยยังคง “มีเสถียรภาพ” และโดยสรุปคือ แนวโน้มของประเทศไทย “ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (07 มี.ค. 68)
Tags: อันดับเครดิต, ไชน่า เฉิงซิน