ธ.ทิสโก้ แนะ “ขายทำกำไร” ตราสารหนี้โลกหลังสร้างผลตอบแทนตามคาด ทยอยเข้าเก็บหุ้นนอก

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ เปิดเผยว่า ช่วงต้นปี 68 ธนาคารแนะนำให้ลูกค้าลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้โลก เพื่อปกป้องพอร์ตการลงทุนและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในยุคทรัมป์ 2.0 นั้น ปรากฎว่าตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือน ก.พ.68 ตราสารหนี้โลกสร้างผลตอบแทนไปแล้วกว่า 2% (อ้างอิงจาก Bloomberg Global-Aggregate Total Return Index Value Unhedged USD ณ วันที่ 28 ก.พ. 68) ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันตราสารหนี้ไทยให้ผลตอบแทน 0.35% (อ้างอิงจาก ดัชนี Thai BMA Zero Rate Return 1 Year ZRR ณ วันที่ 28 ก.พ. 68) โดยตราสารหนี้โลกได้รับปัจจัยบวกจากราคาตราสารที่เพิ่มขึ้นตามคาด ประกอบกับจังหวะที่แนะนำให้ลูกค้าเข้าซื้อเป็นช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) อยู่ในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม ธนาคารมองว่าหลังจากนี้ตราสารหนี้โลกอาจให้ผลตอบแทนลดลง หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงถึง 3 ครั้งตามที่ตลาดคาด เพราะมีความเสี่ยงว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาเร่งตัวอีกครั้งหลังจากทรัมป์เดินหน้าสงครามการค้าเข้มข้นขึ้น ดังนั้น จึงแนะนำให้ลูกค้า “ขายทำกำไร” ตราสารหนี้โลก และ “ทยอยซื้อ” “หุ้น” ที่ราคาปรับลงและมีปัจจัยบวกรออยู่ ได้แก่ หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ หุ้นญี่ปุ่น หุ้นอินเดีย และหุ้นเวียดนาม นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในทองคำ เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในช่วงที่เงินเฟ้อมีโอกาสเร่งตัวขึ้นด้วย

“ปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond yield) สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับลดลงสู่ระดับประมาณ 4.1% เพราะนักลงทุนโยกเงินลงทุนจากหุ้นซึ่งเป็นสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างตราสารหนี้ ส่วนหนึ่งเพราะกังวลสงครามการค้าจะรุนแรงขึ้นหลังปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีต่อเม็กซิโก แคนาดาและจีน อย่างไรก็ตาม Bond yield ที่ปรับลงมาค่อนข้างรวดเร็วได้ Priced-in ความเสี่ยงด้านต่ำของเศรษฐกิจไปพอสมควรแล้ว หลังจากนี้เงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้นและ Fed อาจลดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาดทำให้ Bond yield อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ อาจจะเคลื่อนไหวกลับไปที่ระดับ 4.5% จังหวะนี้จึงเหมาะสมที่จะขายทำกำไรตราสารหนี้โลกที่ในช่วง 2 เดือนนี้สร้างผลตอบแทนไปกว่า 2%” นายณัฐกฤติกล่าว

สำหรับตลาดหุ้นที่มีการปรับตัวลงในช่วงนี้มองว่าเป็นโอกาสเข้าลงทุนจากราคาที่เริ่มถูกลง แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโต ได้แก่ หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ ได้รับประโยชน์จากแผนการคลังของนายโดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แก่ การลดภาษีนิติบุคคล การผ่อนคลายกฎระเบียบ และมีความเสี่ยงต่ำจากการตอบโต้กลับของมาตรการทางการค้า

ส่วนหุ้นประเทศญี่ปุ่น อินเดียและเวียดนาม มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวในการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการบริโภคภายในประเทศที่แข็งแกร่งมีสัดส่วนกว่า 50% ของ GDP ประเทศตัวเองได้

โดยประเทศญี่ปุ่นมีความน่าสนใจจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นพึ่งหลุดจากภาวะเงินฝืดและมีทิศทางฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยการบริโภคภายในประเทศ (Domestic consumption) และกำลังอยู่ในช่วงการเจรจาการปรับขึ้นของค่าจ้างปี 68 ต่อเนื่องอีก 4-5% จากปีก่อนที่จะช่วยเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและยังมีปัจจัยช่วยจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงคาดว่าจะมีการเติบโตเศรษฐกิจปี 68 สูงระดับ 1.2%

ขณะที่ประเทศอินเดียและเวียดนามถูกมองว่าเป็นทางเลือกในการเป็นผู้ผลิตหรือเป็นทางผ่านของการส่องออกสินค้าไปทั่วโลกแทนจีนและมีการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ทั้งการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน ทำให้ทั้ง 2 ประเทศนี้คาดว่าจะมีการเติบโตเศรษฐกิจปี 68 สูงระดับ 6.3% และ 6.7% ตามลำดับ และที่เป็นจุดที่น่าสนใจคือหุ้นเวียดนามมีแนวโน้มจะ Upgrade สถานะของตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นเป็นEmerging Markets ในปีนี้ ทำให้เปิดทางให้เม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติสามารถเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามอีกด้วย

ส่วนทองคำยังมองว่าน่าสนใจจากปัจจัยหนุนระยะกลาง-ยาวจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่อาจจะเร่งตัวขึ้น

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (06 มี.ค. 68)

Tags: , , ,
Back to Top