
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 600 จุดในวันจันทร์ (3 มี.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 ดิ่งลงเป็นเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ธ.ค. 2567 หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ยืนยันว่ามาตรการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% จะมีผลบังคับใช้ตามกำหนดในวันอังคารที่ 4 มี.ค. นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความอ่อนแอของภาคการผลิตสหรัฐฯ
- ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,191.24 จุด ลดลง 649.67 จุด หรือ -1.48%,
- ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,849.72 จุด ลดลง 104.78 จุด หรือ -1.76% และ
- ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,350.19 จุด ลดลง 497.09 จุด หรือ -2.64%
ปธน.ทรัมป์ออกแถลงการณ์ยืนยันที่ทำเนียบขาวในวันจันทร์ว่า สหรัฐฯ จะดำเนินการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในอัตรา 25% ตั้งแต่วันอังคารที่ 4 มี.ค.ตามกำหนด โดยระบุว่าทั้งสองประเทศไม่มีช่องทางที่จะสามารถหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีได้อีก นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยืนยันว่าสหรัฐฯ จะเริ่มใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับทุกประเทศที่เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.นี้เป็นต้นไป
ถ้อยแถลงดังกล่าวของปธน.ทรัมป์ถือเป็นการดับความหวังที่ว่าสหรัฐฯ อาจจะเลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีกับแคนาดาและเม็กซิโกออกไปอีกหรืออาจจะเรียกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า 25% หลังจากที่โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์เมื่อวันอาทิตย์ว่า อัตราภาษีนำเข้าที่จะเรียกเก็บจากเม็กซิโกและแคนาดา ยังคง “ไม่แน่นอน”
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต ปรับตัวลงสู่ระดับ 50.3 ในเดือนก.พ. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 50.6 จากระดับ 50.9 ในเดือนม.ค. โดยดัชนีภาคการผลิตได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าของสหรัฐฯ
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 3.52% ตามด้วยหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 3.51% ส่วนหุ้นกลุ่มปลอดภัย (Defensive Stocks) เช่นหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเฮลธ์แคร์ และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวก
หุ้นบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูงต่างก็ปรับตัวลง ซึ่งรวมถึงหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ดิ่งลง 8.7% หุ้นอะเมซอนดอทคอม (Amazon.com) ร่วงลง 3.4% หุ้นไมโครซอฟท์ (Microsoft) ร่วงลง 2.1% หุ้นอัลฟาเบท (Alphabet) ร่วงลง 2%
หุ้นเทสลา (Tesla) ปิดตลาดร่วงลง 2.84% หลังจากราคาหุ้นเคลื่อนไหวในแดนบวกระหว่างวัน ภายหลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ระบุว่า หุ้นเทสลาเป็นหุ้น “Top Pick” ในกลุ่มรถยนต์ของสหรัฐฯ
นักลงทุนจับตาข้อมูลแรงงานแรงงานของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยในวันพุธนี้จะมีการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.พ.จากออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง (ADP) และในวันพฤหัสบดีจะเป็นการรายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์จากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ
ส่วนในวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ จะเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 156,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. หลังจากเพิ่มขึ้น 143,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 4.0% ในเดือนก.พ.
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (04 มี.ค. 68)
Tags: dowjones, ดาวโจนส์, ตลาดหุ้น, ตลาดหุ้นนิวยอร์ก