
นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล [PTTGC] เปิดเผยว่า ในภาวะปัจจุบันสถานการณ์โลกยังได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยและมีความไม่แน่นอน บริษัทจึงปรับกลยุทธ์ในปี 68 ตั้งเป้าลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ 4,500 ล้านบาทต่อปี ผ่านการประหยัดค่าใช้จ่าย เสริมสภาพคล่องจากสินทรัพย์ที่มี และปรับปรุงการดำเนินงานให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น หากสามารถทำได้ตามแผน ประกอบกับภาวะตลาดใกล้เคียงกับปี 67 มั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปี 68 จะพลิกกลับมามีกำไรได้
ในปี 67 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 29,800 ล้านบาท ซึ่งเป็นขาดทุนจากการดำเนินงาน 3,400 ล้านบาท และ ขาดทุนสุทธิเป็นผลขาดทุนจากการดำเนินงาน Vencorex และ บริษัท พีทีที อาซาฮี เคมิคอล จำกัด (PTTAC) จำนวน 4,600 ล้านาท ขณะที่อีกจำนวน 21,800 ล้านบาท เป็นผลกระทบทางบัญชีจากการปรับพอร์ตของทั้ง 2 ธุรกิจ ซึ่ง Vencorex และ PTTAC ปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการเสนอราคาขายทั้งสองบริษัท หากขายได้มากกว่ามูลค่าที่ลงทุนไปจะเกิดเป็นกำไร ซึ่งคาดว่ากระบวนการจะเสร็จสิ้นในครึ่งปีแรกปี 68
ทั้งนี้เป้าหมายลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ 4,500 ล้านบาทต่อปี จะมาจากการลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (Opex) และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยการดำเนินงาน Holistic Optimization เพื่อเร่งนำธุรกิจกลับสู่สถานการณ์ปกติท่ามกลางจุดต่ำสุดของอุตสาหกรรม,เสริมสร้างประสิทธิภาพด้านการสร้างรายได้ และดำเนินการเพิ่มเติมด้านการลดค่าใช้จ่าย Opex และ Overhead
รวมถึงแผนบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวทาง Asset Light ปัจจุบับบริษัทได้ทบทวนสินทรัพย์ทั้งหมด แต่ยังไม่สามารถระบุได้ ทั้งนี้การปรับพอร์ตสินทรัพย์จะไม่กระทบการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างแน่นอน บริษัทยังสามารถดำเนินการได้ตามปกติ โดยอาจทำให้มีกำไรกลับมาด้วย
นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าทั้งกลุ่มจะลดงบลงทุน (Opex) ให้ได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้นำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในการลดต้นทุน ทำให้ลดเงินลงทุนในส่วนของการซ่อมบำรุงปกติได้ ซึ่งบริษัทยังตั้งเป้าที่จะทำอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันจะยังไม่มีการลงทุนจำนวนมากในช่วงนี้
“วันนี้ถ้าสภาวะตลาด ราคาต่าง ๆ ยังคล้ายปี 67 ด้วย 4,500 ล้านบาทที่เราตั้งไว้ เราจะกลับมาเป็นบวก ถ้าดีกว่าปีที่แล้วเราจะบวกมากขึ้น ถ้าแย่ลงเราต้องมีแผนที่จะทำเพิ่มเติม แต่ปัจจุบันทิศทางตลาดลงมาอยู่ที่ต้นทุนผันแปรแล้ว โอกาสที่จะลงมาอีกน้อยลง”
พร้อมเสริมความแข็งแกร่งด้วยมาตรการระยะกลางผ่าน 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การเสริมศักยภาพธุรกิจมูลค่าสูง และการเติบโตในธุรกิจที่ยั่งยืน
– การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันและสร้างความมั่นคงในระยะสั้น PTTGC ได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และรักษาเสถียรภาพของธุรกิจ โดยบรรลุข้อตกลงการจัดหาอีเทนกับบมจ. ปตท.[PTT] คาดว่าจะได้รับการจัดสรรปริมาณอีเทนเพิ่มขึ้นอีก 20% จากปี 2567 พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังใช้บริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวทาง Asset Light และลดค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (Capex) รวมถึงดำเนินมาตรการเสริมสภาพคล่องผ่านวงเงินสินเชื่อหมุนเวียน เพื่อรักษาสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและรองรับการเติบโตในอนาคต
ส่วนการเสริมความมั่นคงด้านวัตถุดิบและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนในระยะยาว PTTGC เป็นรายแรกจะที่นำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ มาใช้ในประเทศไทย เพื่อทดแทนวัตถุดิบอื่น ๆ โดยได้ลงนามข้อตกลงร่วมกับ ปตท. และพันธมิตรระดับโลก ได้แก่ บริษัทย่อยใน Enterprise Products Partners บริษัท เอ็มไอเอสซี เบอร์ฮาด และบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด เพื่อจัดหาและขนส่งอีเทนคุณภาพสูง 400,000 ตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี ทั้งนี้ GC สามารถนำอีเทนมาใช้เป็นวัตถุดิบได้โดยไม่ต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของโรงงาน ซึ่งได้รับการออกแบบให้รองรับอีเทนได้ตั้งแต่ต้น ลดความจำเป็นในการลงทุนเพิ่มเติม คาดว่าโครงการจะเริ่มดำเนินการในปี 2572
– การเสริมศักยภาพธุรกิจมูลค่าสูง
PTTGC เดินหน้า allnex SEA Hub ในระยอง ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในเฟสแรก และคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนภายในปี 2568 โดยมุ่งเน้น Waterborne Coatings และ Coating Resins ชนิดพิเศษ เพื่อขยายตลาดในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ผลักดัน allnex ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านกลยุทธ์ขยายตลาดและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ในปี 2567 allnex ได้เพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานที่ใหญ่ที่สุดที่ มณฑลเจ้อเจียง ประเทศจีน และลงทุนในโรงงานแห่งใหม่ที่ เมืองมะหาด ประเทศอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ปี 2568 โครงการนี้ช่วยเสริมศักยภาพด้านการผลิตและการกระจายสินค้าในตลาดที่มีการเติบโตสูง
นอกจากนี้ การพัฒนามาบตาพุดเป็น Specialty Hub ยังถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ PTTGC เพื่อรองรับธุรกิจที่มีมูลค่าสูงและคาร์บอนต่ำ โดยอยู่ระหว่างการทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อดึงดูดพันธมิตรระดับโลกที่จะส่งเสริมธุรกิจทั้งห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) เสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทย ควบคู่ไปกับการศึกษาความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจรายอื่น ๆ เพื่อนำโครงการใหม่ ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Specialty Hub โดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างศูนย์กลางอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์เฉพาะทางที่ครบวงจร อาทิเช่น การร่วมมือกับ Toray เพื่อศึกษาพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ที่เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ สิ่งทอ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยได้รับทุนสนับสนุนญี่ปุ่น จากรัฐบาล คาดว่าจะศึกษาแล้วเสร็จในปี 2570
– การเติบโตในธุรกิจที่ยั่งยืน
PTTGC มุ่งขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่านโซลูชันเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมตลาดและอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ พลังงานสะอาด วัสดุชีวภาพ ไปจนถึงเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty Chemicals) เพื่อตอบสนองแนวโน้มของตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจหมุนเวียน โดย ญธธGC ให้ความสำคัญกับ 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลักในธุรกิจ Bio & Circularity ได้แก่

1.โอลิโอเคมี (Oleochemicals) – มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์จากพืช ผ่านการดำเนินงานของ GGC และ Emery ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้ GC Group พัฒนาโซลูชันเคมีชีวภาพที่สามารถทดแทนการใช้วัตถุดิบฟอสซิลในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ
2.พลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) – ผ่าน NatureWorks บริษัทร่วมทุนกับ Cargill ในการพัฒนาและผลิต PLA ซึ่งเป็นวัสดุชีวภาพที่ย่อยสลายได้ รองรับตลาดบรรจุภัณฑ์ อุตสาหกรรมสิ่งทอ และผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและพร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในปลายปี 2568
3.พลาสติกรีไซเคิล (Recycled Plastics) – เป็นผู้บุกเบิกและขยายตลาดวัสดุรีไซเคิลคุณภาพสูงมาอย่างยาวนาน โดย ENVICCO ผลิต rPET และ rHDPE ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล เหมาะสำหรับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม
4.เชื้อเพลิงและโพลีเมอร์ชีวภาพ (Biofuels & Biopolymer) – GC ขยายศักยภาพผ่าน Biorefinery ที่ครบวงจร ได้แก่ เชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) สำหรับอุตสาหกรรมการบิน รวมถึงผลิตภัณฑ์ Bio-chemicals และ Bio-polymer สำหรับอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ก่อสร้าง ตกแต่ง ชิ้นส่วนยานยนต์ ขิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า และสิ่งทอ
นอกจากนี้ ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน PTTGC ได้รับการจัดอันดับ Top 1% ในดัชนีความยั่งยืนของดาวน์โจนส์ (DJSI) สำหรับอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ทั่วโลกจาก S&P Global และครองอันดับ 1 ต่อเนื่อง 6 ปี เป็นรายแรกและรายเดียวของโลกในกลุ่มธุรกิจเคมีภัณฑ์ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและสร้างคุณค่าให้กับทุกภาคส่วน และล่าสุด GC ได้รับผลการประเมินระดับ A (Leadership Level) ซึ่งเป็นระดับสูงสุด 5 ปีต่อเนื่องด้านการบริหารจัดการน้ำ (Water Security) ภายใต้กรอบการประเมินของสถาบันประเมินความยั่งยืนที่น่าเชื่อถือระดับโลก CDP ประจำปี 2567 จากจำนวนบริษัททั้งหมดที่เข้าร่วมประเมิน กว่า 22,000 บริษัท
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (03 มี.ค. 68)
Tags: PTTGC, ณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์, พีทีที โกลบอล เคมิคอล